นอกจากเหตุระเบิดในรูปแบบ “จยย.บอมบ์” หรือ “มอเตอร์ไซค์บอมบ์” จะเกิดมาแล้วถึง 81 ครั้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงที่มีสถานการณ์ไฟใต้ราวๆ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
ยังมีข้อมูลน่าตกใจว่า ละแวกที่เกิดเหตุระเบิด “จยย.บอมบ์” ลูกล่าสุด 13 ม.ค.68 ยังเคยเกิดระเบิดมาแล้วถึง 9 ครั้ง ทั้งคาร์บอมบ์ มอเตอร์ไซค์บอมบ์ และระเบิดขว้าง สาเหตุเป็นเพราะ
1.มีโรงพัก สภ.เมืองปัตตานี เป็นเป้าหมายสำคัญ
2.แต่เดิม อาคารใกล้ๆ โรงพักเป็นโรงหนังเก่า (ปัตตานีรามา) ค่อนข้างรกร้าง กลายเป็นจุดจอดรถริมทาง ง่ายต่อการนำรถระเบิดมาจอด
3.โรงพักอยู่ติดถนน ใกล้ตลาด และย่านชุมชน ทำให้รถราจอแจ ทั้งรถตำรวจ รถที่มาติดต่อราชการ-แจ้งความ และรถของประชาชนทั่วไป
@@ 2 ทศวรรษ คลื่นระเบิดซัด 9 ระลอก!
ปากคำของคนย่านนั้นบอกว่า ในห้วง 21 ปีไฟใต้ เกิดระเบิดในละแวกโรงพัก สภ.เมืองปัตตานี ไม่ต่ำกว่า 9 ครั้ง หนำซ้ำเหตุร้ายไม่ได้เกิดขึ้นห่างกันในแต่ละช่วงเวลา แต่เป็นการก่อเหตุซ้ำๆ แบบถี่ๆ เช่น เฉพาะปี 2551 เกิดระเบิดใกล้โรงพัก สภ.เมืองปัตตานี 3 ครั้ง และปี 2553 อีก 2 ครั้ง
17 พ.ค.2551 มอเตอร์ไซค์บอมบ์ ทำให้ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ประชาชนบาดเจ็บ 5 ราย
15 ก.ค.2551 ระเบิดซุกถังขยะใกล้โรงพัก บาดเจ็บ 5 ราย เป็นตำรวจ 4 นาย และประชาชน 1 ราย
29 ก.ย.2551 มอเตอร์ไซค์บอมบ์ บริเวณลานจอดรถชั่วคราวของอาคารโคลิเซียม ใกล้ๆ กับ สภ.เมืองปัตตานี ตำรวจบาดเจ็บ 3 นาย
21 เม.ย.2553 คนร้ายปาระเบิดเอ็ม 67 เข้าใส่กำลังพลของตำรวจที่กำลังเข้าแถวเคารพธงชาติและปฏิญาณตนบริเวณลานหน้า สภ.เมืองปัตตานี
ถัดจากนั้นไม่ถึง 2 ชั่วโมง เกิดระเบิด “คาร์บอมบ์” ซ้ำบนถนนห่างจากโรงพักไม่ถึง 100 เมตร ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ทั้งชาวบ้านและตำรวจได้รับบาดเจ็บถึง 70 คน
นับจากช่วงเวลานั้น ก็ยังมีระเบิดเกิดขึ้นอีกหลายครั้งใกล้ๆ โรงพัก สภ.เมืองปัตตานี ชาวบ้านแถบนั้นนับรวมได้ถึง 9 ครั้งดังกล่าว
@@ เหยียบจมูก จนท. ไม่สนใกล้วัด - อุทยานเรียนรู้
เหตุระเบิดล่าสุดก็อยู่ในละแวกเดียวกัน โดยอาคาร TK Park ซึ่งอยู่ติดกับจุดเกิดเหตุ เพิ่งจะสร้างขึ้นและเปิดบริการไม่กี่ปีมานี้เอง (ในรัฐบาลลุงตู่) เดิมเป็นโรงหนังปัตตานีรามา
นัยของเหตุระเบิดจึงสะเทือนหลายมิติ กล่าวคือ
1.ท้าทายเจ้าหน้าที่รัฐ และฝ่ายความมั่นคง เพราะวางระเบิดใกล้โรงพัก มีเจ้าหน้าที่มากมาย ทั้งตำรวจ และ อส.แต่ก็ยังเกิดระเบิด
2.ตอกย้ำว่าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น เนื่องจากบริเวณที่เกิดระเบิด เคยเกิดมาแล้วนับสิบครั้ง
3.จุดเกิดเหตุอยู่ใกล้กับอุทยานการเรียนรู้ หรือ TK Park ปัตตานี เป็นสถานที่สำหรับให้เด็กๆ และเยาวชนไปเข้าศึกษาหาความรู้นอกห้องเรียน จึงนับเป็นอาคารที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการศึกษาและเยาวชนชายแดนใต้
@@ สะเทือนท่องเที่ยวเมืองเก่า “กือดาจีนอ”
เหตุระเบิดในละแวกนี้ ยังใกล้กับ “เมืองเก่าปัตตานี” ซึ่งกำลังโปรโมตเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเมื่อปีที่แล้วก็มีแคมเปญ “ตามซ้อตานีเที่ยวเมืองตานีปีมังกรทอง” ชูจุดเด่นความเป็นเมือง 3 วัฒนธรรม คือ อิสลาม พุทธ และจีน
นับจากจุดเกิดเหตุ ปากซอยปัตตานีรามา ถนนปัตตานีภิรมย์ ปากซอยคือร้านอ่าวไทยคาเฟ่ อยู่ตรงหัวมุมอาคารพาณิชย์กึ่งโบราณ
ถัดจากนั้น 2-3 ห้อง เป็นทางเข้าโรงพัก สภ.เมืองปัตตานี ถัดจากโรงพักคือ วัดตานีนรสโมสร พระอารามหลวง วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองปัตตานี สถานที่สำคัญของชาวพุทธ ติดกันคือร้านสังฆภัณฑ์ และมีโรงเรียน
เลยจากหน้าวัดไป เป็นถนน “อาเนาะรู” เริ่มที่ “บ้านเลขที่ 1” ต่อด้วยชุมชน “กือดาจีนอ” ซึ่งเป็นชุมชนเมืองเก่าของปัตตานี เป็นย่านคนจีน คำว่า “กือดาจีนอ” เป็นภาษามลายูถิ่น “กือดา” แปลว่าตลาด “จีนอ” แปลว่า จีน
ย่านนี้ยังมี สตรีทอาร์ต มีร้านกาแฟชิคๆ มีร้านสปา สลับร้านอาหารจีนและไทย ละแวกนั้นยังมีอาคารเก่า และมีประวัติศาสตร์ มีตำนาน เช่น ม.อ.ปัตตานีภิรมย์
ไฮไลต์สำคัญที่ใครๆ ก็รู้จัก และมุ่งหน้าไปสักการะขอพร ก็คือ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เรียกว่าจะเดินไป หรือขี่จักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ไป ก็ได้ทั้งหมด เพราะไม่ไกลกันเลย
เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นจึงทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวด้วย สังเกตจากภาพที่ “ทีมข่าว” ไปเก็บมา คือภาพล่าสุดวันเกิดเหตุ จะเห็นว่าถนนหนทางเงียบ ไม่มีคนพลุกพล่าน
@@ ร้านขายยาเก่าแก่อยู่ไม่ไหวกลางดงระเบิด
อีกจุดหนึ่งที่ต้องบันทึกไว้ คือ “ร้านอ่าวไทยคาเฟ่” เดิมเป็นร้านขายยาเก่าแก่ชื่อเดียวกัน เป็นที่รู้จักของคนปัตตานี แต่ปรากฏว่าที่ตั้งร้านอยู่กลางดงระเบิด คืออยู่ใกล้กับโรงพัก ห่างแค่ 2-3 ห้อง ทำให้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะอีกฝั่งหนึ่งของปากซอยก็เป็นโรงหนังเก่า ปัจจุบันคือ TK Park
เมื่อโดนระเบิดหนักเข้า จึงต้องย้ายร้าน ให้อยู่ห่างโรงพักออกไป (แทนที่จะอุ่นใจที่อยู่ใกล้ตำรวจ) ส่วนร้านเดิม ปัจจุบันเป็น “อ่าวไทยคาเฟ่” เปิดเป็นร้านกาแฟแทน
@@ จยย.บอมบ์ วันต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
เหตุระเบิด “มอเตอร์ไซค์บอมบ์” กลางเมืองปัตตานี เกิดขึ้นพร้อมกับข่าวสำคัญที่เกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 2 ข่าวด้วยกัน
หนึ่ง คือ คณะรัฐมนตรีอนุมัติต่ออายุขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยอาศัยอำนาจตาม พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ” ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อไปอีก 3 เดือน ยกเว้น 16 อำเภอ
โดยมีเพิ่มอำเภอใหม่ล่าสุด คือ อำเภอยะหา จังหวัดยะลา คงเหลืออำเภอที่ยังประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 17 อำเภอ จาก 33 อำเภอของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
@@ บึ้มก่อนนายกฯลงใต้ 2 วัน เปิดมหกรรมแก้หนี้ กยศ.
สอง มีข่าว นายกฯแพทองธาร ชินวัตร เตรียมเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นครั้งแรกตั้งแต่รับตำแหน่ง ในวันที่ 16 ม.ค. คือวันพุธที่จะถึงนี้ โดยเป็นการลงใต้ตามคำเชิญของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อเปิดงาน “มหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยลูกหนี้ มีอยู่ มีกิน มีใช้” ซึ่งจะเป็นกิจกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ.
วันอาทิตย์ที่ 12 ม.ค. พ.ต.อ.ทวี ลงพื้นที่เพื่อเตรียมการต้อนรับนายกฯ และบอกว่า วันที่ 16 ม.ค.นี้ ทาง กยศ.จะเปิดตัวเลขความสำเร็จในนราธิวาสเป็นแห่งแรก เพราะที่ผ่านมาได้ปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ลูกหนี้เป็นไท เมื่อคำนวณหนี้ใหม่ พบว่า “จ่ายดอกท่วมต้น” ไปแล้ว ตามกฎหมายใหม่ให้ถือว่าไปตัดเงินต้นก่อน เมื่อดอกท่วมเงินต้น จึงเท่ากับหลุดหนี้ ส่วนผู้ค้ำประกันก็พ้นภาระไปด้วย
ในส่วนของผู้ค้ำ แค่ลูกหนี้แจ้งปรับโครงสร้างหนี้ ก็จะหลุดจากภาระการเป็นผู้ค้ำประกันทันที
@@ ชวนลูกหนี้ 1.6 หมื่นรายปรับโครงสร้าง - ลุ้นเป็นไท
ต่อมา วันจันทร์ที่ 13 ม.ค. ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม นำโดย นายกูเฮง ยาวอหะซัน เลขานุการ รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้เปิดแถลงข่าวเชิญชวนให้ลูกหนี้ 16,000 รายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วมมหกรรมไกล่เกลี่ยฯ ในวันที่ 16 ม.ค. ที่นายกฯจะเดินทางมา เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ค้ำประกันที่ส่วนใหญ่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองหรือครู พ้นภาระทันที โครงการจัดที่ ลานพิกุล มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเมือง นราธิวาส
นายทนงเดช สุทธิวรรโณภาส รักษาการผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารหนี้ 2 อธิบายว่า ลักษณะลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ต้องปรับโครงสร้างหนี้ใน 3 จังหวัด มีจำนวนทั้งสิ้น 16,000 ราย สามารถเข้าร่วมมหกรรมไกล่เกลี่ยฯ ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ โดยอาจลงทะเบียนล่วงหน้า และนำบัตรประชาชนใบเดียวเข้าร่วมโครงการ ซึ่งสิทธิประโยชน์ภายหลังทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว จากที่เคยผ่อนหลักพันบาท อาจเหลือเดือนละหลักร้อยบาท เนื่องจากรัฐขยายเวลาสิ้นสุดการจ่ายเป็นระยะเวลา 65 ปี
อีกทั้งจะมีการนำหนี้มาคำนวณใหม่เฉพาะดอกเบี้ยและเงินต้น โดยเบี้ยปรับที่ค้างจากการไม่จ่าย รัฐจะพักแขวนไว้ และยกให้ภายหลังจ่ายหนี้หมดแล้ว ส่วนการคำนวณเบี้ยปรับหลังปรับโครงสร้างหนี้ จะมีการคำนวณเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับจากเดิมร้อยละ 7.5 ลดลงเหลือ 0.5 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งดอกเบี้ยด้วย อีกทั้งจะมีการตัดชำระเงินต้นก่อนดอกเบี้ยเมื่อผู้กู้จ่ายเงินเข้าสู่ระบบ ที่สำคัญผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากสัญญากู้ยืมทันที
---------------------------
ขอบคุณ : ภาพกราฟฟิกบางส่วนจากรายการข่าวข้นคนข่าว เนชั่นทีวี