ผ่าน 1 ปี 2 เดือนหลังเหตุการณ์โจมตีครั้งประวัติศาสตร์ที่กลุ่มฮามาสถล่มอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ทั้งทางอากาศด้วยห่าจรวด และภาคพื้นดิน ด้วยกองกำลังนักรบบุกฆ่า สังหาร จับตัวประกัน มีคนตายนับพัน บาดเจ็บนับหมื่น
แม้วันนี้ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศที่กรุงเทลอาวีฟจะแสดงความเชื่อมั่นว่า ความปลอดภัยในประเทศของตนขณะนี้มีมากถึง 95% หลังจากรัฐบาลและกองทัพใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคง ด้วยการเปิดศึกทั้งในฉนวนกาซา และเลบานอน
โดยคำยืนยันนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นใจในการส่งแรงงานต่างชาติ รวมทั้งคนงานไทยไปทำงานในอิสราเอล เพราะประเมินว่าในปีหน้าเศรษฐกิจของประเทศจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง เนื่องจากการสู้รบเริ่มเบาบางลง
แต่ทว่าเมื่อ “ทีมข่าว” ได้นั่งคุยเชิงลึกอย่างตรงไปตรงมากับ ผู้พัน แดนนี่ รอสส์ (Major Danny Ross) โฆษก IDF หรือ กองกำลังป้องกันอิสราเอล (Israel Defense Forces) กลับได้รับข้อมูลที่แตกต่างออกไป
เพราะ โฆษก IDF ในฐานะทหารที่ปฏิบัติงานจริงในภาคสนาม ยังไม่สามารถยืนยันสถานการณ์ได้ว่าปลอดภัย 100% เนื่องจากการสู้รบและความรุนแรงยังคงเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางตอนใต้ของประเทศ ในดินแดนฉนวนกาซาที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มฮามาส หรือทางตอนเหนือของประเทศด้านที่ติดกับพรมแดนเลบานอน ซึ่งเพิ่งทำข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก็ตาม
@@ หยุดยิง...มีจริง แต่ยังยิงไม่หยุด!
“ทีมข่าวพิเศษ” ซึ่งเดินทางไปที่อิสราเอล ได้พบปะพูดคุยกับ โฆษก IDF ที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนภูเขาคาร์เมล (Carmel) ในเมืองไฮฟา เมืองใหญ่อันทันสมัยทางตอนเหนือของอิสราเอล ห่างจากพรมแดนเลบานอนเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตร
ผู้พันแดนนี่ พา “ทีมข่าว” ไปดูสภาพภูมิประเทศบนจุดชมวิวที่มองเห็นท่าเรือ โรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเคมีที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และความใหญ่โตอลังการของเมืองไฮฟา ทั้งยังสามารถมองเห็นพรมแดนของเลบานอนซึ่งมีการสู้รบกันระหว่างกองกำลังฮิซบอลเลาะห์ กับ IDF มานานหลายเดือน และเพิ่งทำข้อตกลงหยุดยิงกันไปเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ผู้พันแดนนี่ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิง แต่ความจริงแล้วการโจมตีก็ยังคงมีอยู่ ฉะนั้นพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศจึงยังไม่ปลอดภัย 100% ผู้คนที่ต้องอพยพหนีภัยการสู้รบ ยังไม่สามารถกลับไปพำนักยังที่พักของตนเอง หรือเข้าไปทำงานในพื้นที่เกษตรกรรมได้ตามปกติ
แต่ขณะเดียวกัน หากมองในแง่ดี สถานการณ์โดยรวมก็คลี่คลายลง และข้อตกลงหยุดยิงก็ยังมีผลอยู่ ยังไม่ได้ถูกยกเลิกไป เพียงแต่ในฐานะที่เป็นทหาร มองว่ายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าทุกอย่างจะจบลง เพราะสถานการณ์ยังคงเปราะบางอย่างมาก
@@ เด็ดชีพหัวหน้านักรบ แต่...ยังจบไม่จริง!
โฆษก IDF อธิบายว่า ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ ทั้งการทำลายโครงสร้างพื้นฐาน การกำจัดผู้นำระดับต่างๆ ของฮิซบอลเลาะห์ เพื่อทำลายโครงสร้างการบังคับบัญชา รวมทั้งการสกัดกั้นการสนับสนุนทางการเงิน ตลอดจนลักลอบค้าและส่งยุทโธปกรณ์เข้าไปในพื้นที่
แต่สาเหตุที่ไม่สามารถการันตีได้ว่า “ทุกอย่างจบ” ก็เพราะปฏิบัติการภาคพื้นดินมีความซับซ้อน เราพบอุโมงค์ขนาดใหญ่ซึ่งเก็บเครื่องแบบทหาร อาวุธ และยุทธสัมภาระต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากที่สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้อยู่กับตัวของทหาร
ความหมายก็คือกองกำลังฮิซบอลเลาะห์ปลอมเป็นพลเรือน ปะปนอยู่กับพลเรือน เมื่อสบโอกาสก็ลงไปในอุโมงค์ และกลับออกมาในชุดทหาร พร้อมอาวุธครบมือ หรือหลายๆ ครั้งเราพบพลเรือนในชุดคลุมของสตรีเดินหิ้วของมา แต่แล้วเขาก็เปิดชุดออกแล้วดึงปืนออกมายิงใส่ทหารอิสราเอล
@@ เมื่อขีปนาวุธอยู่ใต้บ้านพลเรือน...
ผู้พันแดนนี่ ถอดบทเรียนจากสมรภูมิจริงที่พวกเขาต้องเผชิญว่า ความยากลำบากในการสู้รบในเขตเมือง หรือ urban warfare คือการไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นพลเรือน ใครเป็นผู้ก่อการร้ายหรือนักรบ หลายครั้งกองกำลังอิสราเอลถูกประณามว่าโจมตีพลเรือน ทั้งที่เรื่องจริงคือตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ หรือฮามาส เขาสร้างอุโมงค์ไว้ใต้บ้านของพลเรือนเพื่อซ่อนขีปนาวุธ เมืองถูกใช้เป็นฐานทัพของทหาร ไม่ว่าประชาชนจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เพราะถ้าไม่ยอมก็ต้องตาย
“อิสราเอลกำลังโจมตีเมืองหนึ่งอยู่ในขณะนี้ ใช่…เราบอกให้ประชาชนออกไป แต่สถานการณ์ยังคงเลวร้ายอยู่ดี คุณกำลังโจมตีเมืองหนึ่ง แต่คุณก็เห็นการระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าเข้าใส่พวกคุณ แสดงให้เห็นว่าเมืองนี้จะถูกใช้เป็นฐานทัพทหารโดยฮิซบอลเลาะห์”
“ผมเห็นใจผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเหล่านั้น ความจริงที่น่าเศร้าคือ หลายคนในหมู่บ้านรู้ว่าใต้บ้านเขาเป็นอุโมงค์ซ่อนขีปนาวุธ แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง? ผมหมายถึงว่าคุณมีองค์กรก่อการร้ายที่บอกว่าเราจะสร้างอุโมงค์ใต้บ้านของคุณ และเราจะซ่อนขีปนาวุธไว้ในบ้านของคุณ ปล่อยให้เราทำเช่นนั้น หรือไม่ก็ตาย แน่นอนว่าคุณไม่มีทางเลือกอื่น”
@@ ศัตรูล้อมอิสราเอล ถูกแทรกแซงจากอิหร่าน
ผู้พันแดนนี่ สรุปว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่กลายเป็นต้นเหตุหนึ่งของปัญหา คือเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มีปัญหา ทำให้ถูกแทรกแซงจากฝ่ายที่สาม โดยเฉพาะอิหร่าน และใช้กองกำลังที่จัดตั้งขึ้นเคลื่อนไหวและควบคุมพื้นที่บางส่วนรอบๆ อิสราเอล เพื่อโจมตีอิสราเอล
“การป้องกันการลักลอบขนจรวดทำได้จริงหรือไม่? เสบียงอื่นๆ จากซีเรียยังส่งไปเลบานอนได้ ตอนนี้เรากำลังป้องกันสิ่งนั้น แต่มันยากจริงๆ”
@@ เราไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์...
โฆษก IDF ยังพูดแทนกองกำลังป้องกันอิสราเอลว่า พวกตนไม่ได้ต้องการสงคราม ไม่อยากให้สงครามลุกลาม หรือเพิ่มขึ้นอีก และไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ยืนยันว่าปฏิบัติการของอิสราเอลคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซาตามที่มีบางฝ่ายพยายามโจมตี
แต่ปฏิบัติการในฉนวนกาซา เป็นไปอย่างยากลำบาก ซึ่งทุกฝ่ายทราบเหตุผลดี และที่สำคัญยังคงมีตัวประกันอีก 101 คนที่อิสราเอลต้องช่วยเหลือกลับออกมา จึงไม่สามารถเปิดปฏิบัติการได้อย่างเต็มรูปแบบ
ส่วนสมรภูมิทางตอนเหนือ ฮิซบอลเลาะห์ยังมีจรวดอีกมากมาย IDF รู้ดี และทุกคนก็รู้ดีว่าเพราะอะไร
@@ เราไม่ได้รบกับอิสลามหรือปาเลสไตน์...เราสู้กับพวกหัวรุนแรง
ในสถานการณ์ที่การสู้รบไม่สามารถยุติลงได้อย่างสมบูรณ์ และสันติภาพก็ดูจะเกิดได้ยากในดินแดนแถบนี้
การทำความเข้าใจกับสังคมโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญ และนี่เองจึงเกิดโครงการที่กระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอล เชิญสื่อมวลชน นักวิชาการ นักธุรกิจ และภาคประชาสังคม ตลอดจนเอ็นจีโอ จากประเทศต่างๆ ไปศึกษาและสัมผัสข้อมูลจริงถึงประเทศอิสราเอล โดยสื่อไทยก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับเชิญ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอล บอกกับ “ทีมข่าว” อย่างหนักแน่นว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่นี้ ไม่ใช่ระหว่างอิสราเอลกับอาหรับ, ไม่ใช่ระหว่างยิวกับมุสลิม และไม่ใช่ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ แต่เป็นอิสราเอลกับกลุ่มก่อการร้ายฮามาส
เป็นการต่อสู้กันระหว่าง moderates กับ radicals หรือระหว่างสายกลาง กับพวกสุดโต่ง-หัวรุนแรง!