“เชื่อว่าที่เบตงเศรษฐกิจดี…ดีกว่าจังหวัดอื่นๆ ในภาคอื่นๆ ของประเทศเสียอีก เราก็เลยตัดสินใจมาลงทุนเปิดร้านที่นี่”
เป็นเสียงจาก ดวงใจ พุทธชาลี เจ้าของร้านส้มตำที่เปิดอยู่หน้าแลนด์มาร์คสำคัญของเบตง อำเภอใต้สุดแดนสยามของจังหวัดยะลา ดินแดนที่หลายคนสะพรึงกลัวจากข่าวคราวความรุนแรง เสียงปืน เสียงระเบิด
แต่เธอซึ่งเป็นคนอีสานแท้โดยกำเนิด กลับเลือกไปเปิดร้านที่เบตง เมืองใต้สุดของประเทศ แถมเปิดอยู่ใจกลางเมือง หน้าหอนาฬิกา แลนด์มาร์คสำคัญ และอยู่ตรงข้ามฝั่งถนนกับตู้ไปรษณีย์ใหญ่ที่สุดในโลก จุดถ่ายรูปเซลฟี่ ฮ็อตฮิตที่สุดจุดหนึ่งของเมืองนี้ เรียกว่าเดินข้ามไปเพียงไม่ถึงสิบเมตรก็กดชัตเตอร์ได้แล้ว
และยังอยู่ใกล้ๆ กับ “อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์” ที่เจาะลอดภูเขาเป็นทางโค้ง โดดเด่น สวยงาม เรียกว่าร้านส้มตำอยู่แวดล้อมแลนด์มาร์คของเมืองถึง 3 จุดเลยทีเดียว
ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท สำหรับห้องเล็กๆ รูปสามเหลี่ยม หน้ากว้างแค่ 6 เมตร ในเมืองท่องเที่ยวต่างจังหวัด ไม่รวมมัดจำล่วงหน้า ถือว่าราคาแรงไม่ใช่เล่น แต่ด้วยความที่หน้าร้านอยู่ริมถนนซึ่งเป็นทางโค้งของวงเวียนหอนาฬิกา และอยู่ใกล้กับแลนด์มาร์คอีก 2 จุดของเมือง ทำให้ดวงใจตัดสินใจจ่ายเงินค่าเช่าแบบไม่ลังเล
ตลาดผู้ซื้อที่เบตง แตกต่างจากเมืองอื่นๆ ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อก้อง ปัจจุบันไม่มีใครไม่รู้จัก “สกายวอล์ก ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง” อีกแล้ว คนไทยไม่ว่าภาคไหน หรือนักท่องเที่ยวต่างแดน ทั้งจีน มาเลย์ สิงคโปร์ อินโดฯ และชาติอื่นๆ ต่างก็พากันมาเยี่ยมเยือนและสัมผัสไอหมอกที่ปลายสกายวอล์กซึ่งยาวและสูงที่สุดในอาเซียนแห่งนี้
เฉพาะเดือนกันยายน ซึ่งเป็นหน้าฝนเพียงเดือนเดียว ที่นักท่องเที่ยวไปเยือนสกายวอล์กอัยเยอร์เวง มากกว่า 24,000 คน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ไฮซีซั่น
เมืองเบตงจึงเต็มไปด้วยธุรกิจบริการเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งร้านนวด ร้านอาหาร ร้านเหล้า สถานบันเทิง ร้านกาแฟ คาเฟ่สวยๆ ร้านขายโทรศัพท์ ซิมมือถือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถเช่า ฯลฯ จึงมีคนต่างถิ่นจากภูมิภาคต่างๆ ไปเป็นลูกจ้าง ทำงาน และเปิดกิจการมากมาย
เหตุนี้เองร้านอาหารที่เบตงจึงมีความหลากหลาย ร้านส้มตำของดวงใจจึงมีตลาดใหญ่รองรับ โดยเฉพาะสาวๆ ร้านนวดแผนไทย ร้านเสริมสวย หรือแม้แต่พนักงานในธุรกิจบริการ โดยร้านส้มตำของดวงใจก็อยู่ติดกับร้านนวดแผนโบราณด้วย
เพราะจะให้คนเหล่านี้รับประทานแต่ไก่เบตง ผักน้ำ หรือติ่มซำ อาหารขึ้นชื่อของเมืองใต้สุดแดนสยามซ้ำๆ ทุกวันก็คงไม่ไหว แม้ร้านดังระดับประเทศเหล่านี้ ก็ตั้งอยู่แวดล้อมร้านส้มตำของดวงใจด้วยเช่นกัน
“เชื่อว่าของจริงขายได้ในตัวมันเอง ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ที่ล้อมรอบด้วยร้านอาหารขึ้นชื่อ แต่เราเชื่อในฝีมือ คุณภาพในการปรุงอาหาร และการบริการที่ประทับใจ สิ่งนี้แหละของจริงที่ลูกค้าติดใจ ต้องกลับมาหาซื้ออีกหลายๆครั้ง จนกลายมาเป็นลูกค้าของเราไปเลย ทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว” ดวงใจบอกเคล็ดลับที่ทำให้กล้าสู้ในตลาดแข่งเดือดอย่างเบตง
เจ้าของร้านส้มตำหน้าหอนาฬิกา เล่าต่อว่า งานขายอาหารก็เหมือนงานบริการประเภทหนึ่ง ต้องตื่นตัวอยู่เสมอ เมนูของร้านจึงปรับตลอดเวลา มีเมนูยืนพื้น และเมนูที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล
หากลองพลิกเมนูของร้านจะพบว่า “วงการส้มตำ” ไปไกลมากแล้วจริงๆ ไกลจนหลายคนตามไม่ทัน เริ่มจากเมนูที่ดูจะธรรมดาไปแล้วอย่าง “ส้มตำถาดไฮโซ” ตามด้วย “ส้มตำทะเล” แต่เมนูถัดจากนี้ คิดว่าทุกคนอาจจะต้องแวะไปดูด้วยตาตัวเอง เพราะอ่านแค่ชื่อ คงนึกหน้าตาไม่ออก เช่น ตำงูเขียวหอยราก, ส้มตำเบนโตะทะเลฉ่ำ, ตำทุเรียน เป็นต้น
ส่วนไฮไลต์ที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน คือ เมนูที่เป็นเอกลักษณ์คิดค้นเอง นั่นก็คือ “ตำเฉาก๊วยเบตง”
“อยากให้มาลอง เพราะกินแล้วหนึบ แซ่บ เป็นเมนูต้นตำรับ คิดค้นด้วยตัวเองเจ้าแรกในเบตง โดยจะมีส่วนผสม เฉาก๊วย กุ้งสดลวก ไก่ยอ และแห้ว หรือสมหวัง ปรุงรสด้วยสูตรน้ำยำส้มตำต้นตำรับอีสาน กินแล้วจะสัมผัสได้ถึงความหนึบจากเท็กซ์เจอร์ของเนื้อเฉาก๊วย แล้วก็กรอบจากแห้ว มีทั้งกุ้งและไก่ให้เคี้ยว ส่วนรสชาติแซ่บอย่าบอกใคร โอ๊ย…อร่อยอีหลีเด้อ อยากให้มาลองแล้วมาคอมเมนต์กัน”
ร้านส้มตำของดวงใจ เปิดขายตั้งแต่บ่าย แต่ไฮไลต์อยู่ที่ตอนค่ำ เพราะทางเทศบาลอนุญาตให้ตั้งโต๊ะบนฟุตบาทได้หลัง 6 โมงเย็น ลูกค้าก็สามารถนั่งชิลล์ในบรรยากาศสบายๆ จิบเบียร์ กาแฟ น้ำผลไม้ปั่นตามฤดูกาล แกล้มกับยำต่างๆ และ “ตำเฉาก๊วยเบตง” ซึ่งเป็นจานเด็ด ซิกเนเจอร์
เบตงวันนี้...แตกต่างจากอดีตที่ผ่านมา ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดยาวที่ตรงกับวันชาติของประเทศเพื่อนบ้าน โรงแรมทุกแห่งจะถูกจองเต็มหมดทุกห้อง ร้านรวงคนแน่น โดยเฉพาะร้านอาหารพื้นเมืองชื่อดังที่เคยถูกรีวิวผ่านสื่อกระแสหลักดั้งเดิมอย่างทีวี หนังสือพิมพ์ และสื่อใหม่โดยอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดีย
ตัวเมืองเบตง ในเขตเทศบาล มีการสร้างสีสัน ทั้งประดับไฟ และเปิดให้ศิลปินรังสรรค์สตรีทอาร์ต
ขณะที่หน่วยงานของรัฐ และฝ่ายความมั่นคงก็พยายามดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้คงความเป็นเมืองน่าเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม
อย่างทะเลหมอกอัยเยอร์เวง มีตำรวจตระเวนชายแดน ฝ่ายปกครอง และองค์กรปกครองท้องถิ่น จับมือกันจัดระเบียบ ทั้งเรื่องเข้าคิว การจัดนักท่องเที่ยวเข้าชมเป็นรอบ การรักษาความสะอาดโดยใช้ผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่น เช่น ผ้าหุ้มรองเท้า เป็นการสร้างรายได้ให้คนพื้นที่
หรือแม้แต่รถสองแถวที่ขึ้นจากจุดจอดรถไปยังสกายวอล์ก ก็จำกัดให้เฉพาะสองแถวของคนพื้นที่เท่านั้น
นี่คือการบริหารจัดการเพื่อให้แหล่งท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้ และสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกันก็ต้องอนุรักษ์สถานที่ท่องเที่ยวและอัตลักษณ์ของเบตงให้คงอยู่สถาพรสืบไป โดยเฉพาะมนต์เสน่ห์ท่ามกลางขุนเขาและผืนป่าฮาลาบาลาที่อุดมสมบูรณ์ ดังคำขวัญประจำอำเภอที่ว่า “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน”
ปัจจุบันมีการทำลิสต์สถานที่ท่องเที่ยว เป็นแพคเกจทัวร์ มีสถานที่แนะนำถึง 17 แห่ง แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า ยังมีแหล่งท่องเที่ยวแบบ “อันซีน” อีกหลายแห่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความคึกคักของเบตง
หนึ่งในนั้นคือ “น้ำตกเฉลิมพระเกียรติฯ ร.9” ซึ่งอวดโฉมอย่างสงบอยู่ในหุบเขาชอุ่มชุ่มชื้น น้ำตกสูง สายน้ำไหลแรง ปะทะโขดหินเป็นละอองฝอยกระเซ็นกระสาย บางจังหวะเมื่อกระทบแดดจะมองเห็นรุ้งให้ได้ตื่นตาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ใจกลางของน้ำตกมีแอ่งน้ำกว้าง และธารน้ำไหลลัดเลาะผ่านก้อนหินใหญ่น้อยลงสู่พื้นราบ
พื้นที่นี้อยู่ในความดูแลของตำรวจตระเวนชายแดน และฝ่ายปกครองเช่นเดียวกัน
คนที่เคยไปสัมผัส จะพบว่า “น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9” ไม่ได้มีแค่น้ำตก แต่ยังเป็น “ป่านันทนาการ” ด้วย
ความหมายของ “ป่านันทนาการ” ตรงกับภาษาอังกฤษคือ "Recreational Forest" กำหนดขึ้นโดยอิงหลักวิชาการและความเป็นสากล เน้นการใช้ “กิจกรรมนันทนาการ” หรือ recreational activities ในการดึงดูดให้ประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์
ป่านันทนาการ จะต้องเป็นป่าถาวร ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ และศึกษาเรียนรู้ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีทัศนียภาพที่สวยงาม มีทรัพยากรธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่โดดเด่น
แน่นอนว่า “น้ำตกเฉลิมพระเกียรติฯ ร.9” มีคุณสมบัติครบถ้วน สมควรไปเยี่ยมเยือน เพราะนอกจากได้พบกับธรรมชาติที่เกือบจะปราศจากการปรุงแต่งแล้ว ยังได้พบกับมิตรจิตมิตรใจของชาวบ้านแถบนั้น ทั้งรอยยิ้ม และผลไม้สดๆ ที่เด็ดจากต้น ไม่ว่าจะเป็นเงาะ ลองกอง และทุเรียน
รอบๆ ผืนป่ายังมีที่พักแบบโฮมสเตย์ ทั้งสไตล์พื้นถิ่น และแบบคาวบอย ไว้รองรับนักท่องเที่ยวด้วย
วิถีแบบเบตงกำลังดำเนินไปด้วยดี และเป็นดั่งหมุดหมายให้อีกหลายๆ อำเภอในพื้นที่ชายแดนใต้เดินตามรอย เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งและความรุนแรงที่เป็นดั่งม่านหมอกสีดำซึ่งปกคลุมดินแดนแห่งนี้มานานถึง 20 ปี
เปิดฟ้าให้หมอกขาวได้เข้ามาอวดโฉม...
ดังเช่นที่เลขาธิการ ศอ.บต. พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ บอกเอาไว้ว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีครบทุกสิ่งซึ่งจังหวัดอื่นๆ เทียบไม่ได้ และแทบจะไม่มี
ทั้งป่า ลำธาร ถ้ำ แม่น้ำ ภูเขา ทะเล รวมอยู่ในพื้นที่เดียว...เหลือเพียงความเชื่อใจ เชื่อมั่น เปิดประตูบ้านเพื่อก้าวไปด้วยกัน สู่วันใหม่แห่งสันติสุขที่ยั่งยืน