หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมนราธิวาส เข้าตรวจค้นบ้านเป้าหมายใน 2 ตำบลของ อ.ตากใบ คุมตัว 3 ผู้ต้องสงสัยเอี่ยวเหตุ จยย.บอมบ์ หน้าเขื่อนท่าพระยาสาย กลางเมืองนราฯ ช่วงจัดงานกาชาดจังหวัด เร่งส่งตัวเข้ากระบวนการซักถาม
เมื่อเวลา 03.00 น.วันพฤหัสบดีที่ 23 พ.ค.67 เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมประจำจังหวัดนราธิวาส ได้สนธิกำลัง 3 ฝ่าย เข้าบังคับใช้กฎหมายเพื่อตรวจสอบและติดตามบุคคลต้องสงสัย หลังได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนว่า พบเห็นบุคคลต้องสงสัยเข้าไปเคลื่อนไหวหลบซ่อนในพื้นที่ อ.ตากใบ โดยมีความเกี่ยวข้องกับกรณีเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง ติดตั้งไว้ในรถจักรยานยนต์ (จยย.บอมบ์) บริเวณหน้าเขื่อนท่าพระยาสาย อ.เมืองนราธิวาส เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 พ.ค.67 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีการจัดงานกาชาดของจังหวัด
โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ ต.เกาะสะท้อน จำนวน 2 จุด และ ต.ไพรวัน จำนวน 1 จุด ทั้งหมดอยู่ใน อ.ตากใบ สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ทั้งสิ้น 3 ราย ประกอบด้วย
จุดที่ 1 บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 3 ต.เกาะสะท้อน ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย จำนวน 1 ราย คือ นายไฟซาลย์ (สงวนนามสกุล)
จุดที่ 2 บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 2 ต.เกาะสะท้อน ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย จำนวน 1 ราย คือ นายอัสฮาร์ (สงวนนามสกุล)
เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 รายไปยังศูนย์ซักถาม หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 เพื่อดำเนินกรรมวิธีซักถามและขยายผล
ส่วนจุดที่ 3 บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 9 ต.ไพรวัน ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย จำนวน 1 ราย คือ นายอามีน (สงวนนามสกุล) เจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวไปยังศูนย์ซักถาม หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 ค่ายวังพญา อ.รามัน จ.ยะลา เพื่อดำเนินกรรมวิธีซักถามและขยายผล
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) แถลงว่า ในขั้นตอนการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ได้ใช้ความพยายามในการเจรจาเกลี้ยกล่อม โดยได้ขอความร่วมมือผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ในการเป็นผู้ช่วยเจรจา เพื่อให้ผู้ต้องสงสัยที่หลบซ่อนอยู่ภายในบ้านออกมามอบตัว รวมถึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่พูดคุยและสร้างความเข้าใจแก่ครอบครัวและญาติของผู้ต้องสงสัยให้ทราบถึงขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ และให้ปฏิบัติด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนให้มากที่สุด
ทั้งยังต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ทางเจ้าหน้าที่ จนนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายในครั้งนี้ และยังคงยืนยันเจตนารมณ์ในการแก้ปัญหาตามแนวทางสันติวิธี โดยพร้อมเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดเข้ามอบตัวเพื่อต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม และให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป