เอ่ยชื่อ “หนองวัวซอ” หลายคนอาจไม่ทราบว่า เป็นชื่อของอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี
ชื่อเสียงของอำเภอนี้ คือ “ตำนานเขยฝรั่ง” เพราะเคยมีหญิงไทยไปแต่งงานกับฝรั่งต่างชาติเยอะมากในดินแดนแถบนี้
ใครเคยไปอุดรธานีช่วง 10-20 ปีก่อน จะพบว่า ร้าน wedding ในตัวจังหวัด ภาพที่นำมาโปรโมทประชาสัมพันธ์ ล้วนเป็นภาพเจ้าบ่าวผมทอง ฝรั่งตาน้ำข้าว ชาวตะวันตก แต่งงานกับเจ้าสาวหญิงไทยพื้นเมืองทั้งสิ้น
จริงๆ ช่วงปี 2545-2555 เป็นยุคทองของหญิงไทย มีฝรั่งต่างชาติ โดยเฉพาะจากชาติตะวันตก อเมริกาและยุโรป นิยมมาแต่งงานกับหญิงไทยมากมาย ไม่ใช่เฉพาะที่อุดรธานี แต่ปรากฏการณ์แบบนี้ จะว่าไปแล้วก็เกิดขึ้นหลายจังหวัดของภาคอีสาน
แต่อุดรธานีดูจะมากที่สุด มีการจดบันทึกไว้ว่า ระหว่างปี 2545-2551 มีหญิงไทยแต่งงานกับชาวต่างชาติมากกว่า 4,000 คน ข้อมูลบางแหล่งพุ่งถึง 20,000 คน นี่นับเฉพาะที่มีข้อมูลทะเบียนราษฎร คือจดทะเบียนสมรสด้วยกันเท่านั้น ไม่นับรวมพวกที่อยู่กินกันเฉยๆ ไม่มีพันธะทางทะเบียน
บางตำบลของหนองวัวซอ ถูกเรียกขานว่า “ตำบลเขยฝรั่ง” เรียกว่าแต่งงานกับฝรั่งกันแทบยกตำบล กลายเป็นปัญหาเชิงสังคมด้วยเหมือนกัน เพราะหลายฝ่ายกังวลเรื่องการแต่งงานบังหน้า หรือเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์
จากจุดเริ่มต้นของความโด่งดังในเรื่องนี้ ทำให้หน่วยงานความมั่นคงหลายหน่วย รวมถึงสถาบันพระปกเกล้า ลงไปทำงาน และศึกษาวิจัย ดูงานหลายๆ เรื่อง และพบปัญหาเชิงสังคม รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจของพื้นที่ จึงมีโครงการนำร่องแก้ไขปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ ความยากจน และโครงการพัฒนาต่างๆ ไปลงมากมาย
หนึ่งในนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนและสานต่อ คือการส่งเสริมให้ประชาชนมีที่ดินทำกิน โดยเป้าหมายหนึ่งคือที่ดินราชพัสดุ ที่กองทัพถือครองอยู่เป็นจำนวนมากในดินแดนหนองวัวซอ ซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่ซ้อมรบ และยิงปืนใหญ่
ที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และกองทัพบก ได้ประชุมร่วมกันเป็นระยะ เพื่อสานต่อโครงการ จัดทำโซนนิ่ง และบันทึกข้อตกลง ให้ประชาชนเข้าทำกินในที่ราชพัสดุ ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทัพ เป็น “โครงการนำร่อง” หรือ Pilot Project ของที่ดินพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
พื้นที่เป้าหมายคือ พื้นที่สนามยิงปืนใหญ่ของ ป.3 พัน.13 หรือ กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 13 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 อำเภอหนองวัวซอ เนื้อที่ 10,000 ไร่เศษ
กองทัพตั้งใจให้เป็นโครงการนําร่อง โดยดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2566 เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน
ปรากฏว่าเมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามามีอำนาจ และส่ง “บิ๊กทิน” สุทิน คลังแสง เป็น รมว.กลาโหม ก็ได้ “ปลั๊กอิน” กับโครงการนี้ และประกาศเป็นโครงการจัดสรรที่ดินกองทัพให้ประชาชน เรียกว่า “หนองวัวซอโมเดล”
จะว่าไป จุดเริ่มของโครงการ กองทัพก็ทำมาอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อฝ่ายการเมือง พรรคเพื่อไทย เข้ามา ก็มีการเร่งรัด และจัดทำเป็นผลงานแรกที่เป็นรูปธรรมของ “บิ๊กทิน”
ที่ดินผืนนี้มีบางส่วนถูกประชาชนบุกรุก จึงมีการสำรวจรังวัดกันใหม่ เรียบร้อยไปแล้ว 1,597 แปลง อยู่ระหว่างสอบสวนสิทธิการครอบครอง ดำเนินการไปแล้วร่วมๆ 50% และเตรียมส่งมอบสัญญาเช่าที่ดินให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จำนวน 300 ราย ภายในสิ้นปี
หลังจาก “หนองวัวซอโมเดล” ประสบความสำเร็จ ก็จะมีการขยายการใช้พื้นที่ของกองทัพ ให้กับพี่น้องประชาชนเพิ่มเติม เช่น
-บ้านแก่งประลอม และ บ้านพุราด อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ของกองทัพไทย
-อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ของกองทัพเรือ
-พื้นที่สนามบินนครพนม ตำบลนาทราย อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ของกองทัพอากาศ เป็นต้น
โดยหน่วยงานที่ประสานงานทั้งหมด คือ ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 หรือ ศปป.4 กอ.รมน.
เช่นนี้เองจึงทำให้นายกฯเศรษฐา ยกย่อง กอ.รมน. ว่ามีผลงานด้านการพัฒนา และประกาศว่าไม่มีนโยบายยุบอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ!!!