คลองแม่หวาด หน้าวัดคงคานิมิต หรือที่ชาวบ้านในท้องถิ่นเรียกกันว่า “วัดวังไทร” พื้นที่หมู่ 2 บ้านวังไทร ต.แม่หวาด อ.ธารโต จ.ยะลา เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีปลาหลากหลายชนิด
เสน่ห์ของคลองแห่งนี้คือ บรรดาฝูงปลาต่างพากันว่ายแหวกน้ำอวดโฉมผู้คนที่ผ่านไปมา โดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นกลัว
ปลาในลำคลองสวยใสมีทั้งตัวใหญ่ ตัวเล็ก เช่น ปลากระสูบ ปลาตะเพียน และตระกูลปลาพลวง อย่างเช่น ปลาพลวงทอง ปลาพลวงหิน
แต่ที่โดดเด่นและเป็นปลาที่ได้รับความสนใจจากผู้พบเห็น ทั้งนักท่องเที่ยว และนักนิเวศวิทยาอย่างมากก็คือ “ปลาพลวงชมพู” หรือที่คนในพื้นที่เรียกว่า “ปลากือเลาะห์” เพราะเป็นปลาที่หายาก โดยเฉพาะ “ปลากือเลาะห์” ที่มีขนาดใหญ่ และยังแหวกว่ายอยู่ในลำคลองธรรมชาติแบบนี้ด้วยแล้ว... ถือว่าหาชมได้ยากยิ่ง
“ปลาพลวงชมพู” พบมากในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ฮาลา-บาลา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหาดูได้ง่ายเหมือนในลำคลองบ้านวังไทรแห่งนี้ ทำให้ชาวบ้านร่วมกันอนุรักษ์พันธุ์ปลา และช่วยกันดูแลให้คลองเป็น “บ้านของปลา” ที่สะอาด ปลอดภัย และเป็นธรรมชาติ
ขณะที่เขตอภัยทานหน้าวัด จะเป็นจุดที่ปลาชุกชุมเป็นพิเศษ วันนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของหมู่บ้าน
อ้วน แย้มรัตน์ กรรมการกลุ่มอนุรักษ์ประมงพื้นบ้านวังไทร เล่าว่า ชาวบ้านได้รวมกลุ่มกันอนุรักษ์พันธุ์ปลาในคลองธรรมชาติคลองแม่หวาด โดยห้ามจับสัตว์น้ำบริเวณคลองหน้าวัดวังไทรอย่างเด็ดขาด จุดที่ห้ามจับปลามีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ถือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ จึงทำให้มีปลาจำนวนมากและหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ในคลอง
ปลาชนิดต่างๆ ที่มาอาศัยรวมกันบริเวณนี้ ได้แพร่ขยายพันธุ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงปลาพลวงชมพูที่ใกล้จะสูญพันธุ์ด้วย เนื่องจากสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งยังเป็นปลาที่ต้องการของตลาด ทำให้กรมประมงมีนโยบายรวบรวมพันธุ์จากธรรมชาติ แล้วนำมาเพาะขยายพันธุ์เพื่อการอนุรักษ์ กระทั่งประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกโดยใช้วิธีการผสมเทียม เมื่อปี 2543
แม้ปัจจุบันกรมประมงได้พัฒนาและส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยง แต่ก็ยังมีปริมาณไม่เพียงพอต่อผู้บริโภค มีการไปจับปลาตามแหล่งน้ำธรรมชาติ ชาวบ้านวังไทรจึงรวมกลุ่มกันอนุรักษ์ไม่ให้สูญพันธุ์
สำหรับจุดชมปลาวัดวังไทร จะมีการตั้งเครื่องจำหน่ายอาหารปลาอยู่บริเวณหน้าวัด สามารถหยอดเหรียญ 10 บาท และธนบัตรใบละ 20 บาท เพื่อซื้ออาหารมาเลี้ยงปลา เมื่อโปรยอาหารลงน้ำ ก็จะเห็นปลาสายพันธุ์ต่างๆ รวมถึง “ปลาพลวงชมพู” ที่ว่ายน้ำมากินอาหาร อวดโฉมให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะน้ำในลำคลองใสมากจนมองเห็นขนาดของตัวปลา
“ขณะนี้ปลาพลวงชมพูในลำคลองมีให้เห็นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากเริ่มแรกที่มีเพียงตัวสองตัว และยังมีขนาดลำตัวใหญ่ขึ้น ทำให้บริเวณลำคลองจุดชมปลาในวัดกลายจุดท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของหมู่บ้าน ใครไปใครมาก็จะแวะชมปลาพลวงชมพูที่หาดูได้ยากตามแหล่งน้ำธรรมชาติ” กรรมการกลุ่มอนุรักษ์ฯ กล่าว
สำหรับ “ปลาพลวงชมพู” เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน มีรูปร่างคล้ายปลาเวียนซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกัน แต่ลำตัวเพรียวและเป็นทรงกระบอกมากกว่า ส่วนหัวค่อนข้างมน ริมฝีปากหนา ปากกว้างเล็กน้อย ใต้คางมีติ่งเนื้อสั้นๆ มีหนวด 2 คู่เห็นชัดเจน ตาอยู่ค่อนไปทางด้านบนหัว เกล็ดมีขนาดใหญ่ ครีบหลังมีก้านแข็ง 1 อัน ครีบหางเว้าลึก ครีบก้นสั้น ลำตัวด้านบนมีสีคล้ำอมน้ำตาล ด้านข้างลำตัวสีเงินเหลือบชมพูหรือทอง ครีบสีคล้ำ ด้านท้องสีขาว มีขนาดความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ใหญ่สุดที่พบ 35 เซนติเมตร
ในประเทศไทยจะพบปลาพลวงชมพูเฉพาะภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่แม่น้ำตาปีไปจนถึงปรเทศมาเลเซีย โดยอาศัยอยู่ในลำธารหรือแม่น้ำที่มีฝั่งเป็นป่าร่มครึ้ม รวมถึงบริเวณน้ำตก พบมากโดยเฉพาะในน้ำตกฮาลา-บาลา ภายในอุทยานแห่งชาติฮาลา-บาลา
ปลาพลวงชมพู เมื่อถูกนำไปทำเป็นอาหาร จัดเป็นปลาที่มีรสชาติดี จึงเป็นเมนูขึ้นชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดยะลา มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 2,000-3,000 บาท และในฮ่องกงอาจมีราคาสูงถึง 5,000 บาท นับเป็นปลาที่มีราคาแพงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังจัดว่าเป็น ปลาตระกูลปลาพลวง หรือปลาเวียนเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่สามารถรับประทานทั้งเกล็ดได้ มีชื่อเรียกเป็นภาษามลายูปัตตานีว่า "กือเลาะฮ" หรือ "กือเลาะฮ แมเลาะฮ”
ปี 2524 ปลาพลวงชมพูอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากมีการสร้างเขื่อนบางลาง ทำให้สูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยในธรรมชาติ ต่อมามีการรวบรวมพันธุ์ปลาจากคลองฮาลา-บาลา เพื่อเพาะขยายพันธุ์ แต่ก็ยังเพาะได้น้อยมาก กระทั่งปี 2542 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปยังเขื่อนบางลาง และได้ทรงปล่อยพันธุ์ปลาลงเขื่อน และมีพระราชดำรัสให้หาปลาพลวงชมพูมาเลี้ยงไว้ในฟาร์มพระราชดำริ จนกระทั่งสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากแล้วในปัจจุบัน โดยสถานีประมงจังหวัดยะลา และถือเป็นปลาประจำจังหวัดยะลา
แต่โดยรวม ปลาพลวงชมพู ก็ยังเป็นปลาที่ยังเพาะขยายพันธุ์ได้น้อยและลำบากอยู่ เนื่องจากเป็นปลาที่วางไข่น้อย ครั้งละเพียง 500–1,000 ฟองเท่านั้น แตกต่างจากปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกันที่เมื่อวางไข่แล้วจะให้ปริมาณไข่เป็นแสนฟอง อีกทั้งยังมีการตกไข่หรือไข่สุกไม่พร้อมกันอีกต่างหาก
ปลาพลวงชมพูนอกจากจะนำมาเป็นอาหารแล้ว ยังเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้อีกด้วย