เปิดคำสั่ง ปปง. แต่งตั้ง “บิ๊กเกรียง” ผู้ช่วย ผบ.ทบ. นั่งประธานอนุกรรมการ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนเงินก่อการร้ายฯ ควบ รอง ปธ.อนุกรรมการ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หลัง ปปง.มีคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ 10 คณะร่วมทำงาน มีชื่อ “บิ๊กเจ้า” ผบช.น.เป็นรองประธาน ทำงานควบคู่กันทั้งกองทัพและผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
เมื่อเร็วๆ นี้ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ประธาน ปปง.) ได้ลงนามในคำสั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่ 1 / 2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทั้งหมด 10 คณะ ประกอบด้วย
1.คณะอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมาย
2.คณะอนุกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย
3.คณะอนุกรรมการบริหารจัดการทรัพย์สิน
4.คณะอนุกรรมการกำกับและตรวจสอบผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรม
5.คณะอนุกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะกรรมการ ปปง. กรณีการใช้อำนาจตามมาตรา 25(3) และมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
6.คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนเงินแก่การก่อการร้าย
7.คณะอนุกรรมการประสานงานการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
8.คณะอนุกรรมการประสานงานการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ.2559
9.คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร
10.คณะอนุกรรมการพัฒนาและบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการข้อมูลคดีและสนับสนุนการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดและดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
ทั้งนี้ ในคณะอนุกรรมการของ ปปง. แต่ละคณะ นอกจากผู้แทนหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังปรากฏชื่อ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผู้ช่วย ผบ.ทบ.) ได้รับการแต่งตั้งเป็น ประธานอนุกรรมการประสานงานการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ.2559 และมี พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เป็นรองประธานอนุกรรมการ คนที่ 2 ด้วย
ส่วนคณะอนุกรรมการประสานงานการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มีที่ปรึกษาด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินของ ปปง. เป็นประธานอนุกรรมการ และมี พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ เป็นรองประธานอนุกรรมการคนที่ 1 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง เป็นรองประธานอนุกรรมการ คนที่ 2
นอกจากนี้ในคณะอนุกรรมการดังกล่าว ยังมีผู้แทนจากส่วนราชการอื่น อาทิ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงต่างประเทศ ฯลฯ เข้าร่วมเป็นอนุกรรมการทั้ง 2 คณะนี้ด้วย
สำหรับ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นชาว จ.สุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อวันที่ 25 มี.ค.2506 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 22 (ตท.22 ) และเป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 33 (จปร.33) รุ่นเดียวกับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งจะเกษียณอายุราชการพร้อมกันในวันที่ 30 ก.ย.นี้
พล.อ.เกรียงไกร ติดร้อยตรีเมื่อปี 2529 เริ่มรับราชการครั้งแรกที่กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 25 (ร.25 พัน3) ค่ายวิภาวดีรังสิต จ.สุราษฎร์ธานี และชีวิตราชการเติบโตอยู่ภายในกองทัพภาคที่ 4 มาตลอด เคยเป็นผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 42 เปิดยุทธการไล่ล่าโจรจีนคอมมิวนิสต์ หรือ จคม. เคยเป็นเสนาธิการจังหวัดทหารบกปัตตานี รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 และเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4 เมื่อปี 2562 ก่อนผงาดขึ้นเป็นแม่ทัพในปีถัดมา เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 คนที่ 13 นับตั้งแต่ไฟใต้ปะทุขึ้นมาเมื่อปี 2547
พล.อ.เกียงไกร ถือว่าเป็นทหารสายบู๊ถึงลูกถึงคน ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ด้วยตนเอง เวลามีปฏิบัติการปิดล้อม ตรวจค้น ยิงปะทะ แต่ก็เป็นคนมีบุคลิกที่ชาวบ้านเข้าถึงได้ง่าย มีความเป็นกันเอง ทั้งมีคอนเนคชั่นหลากหลายวงการและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับภาคประชาสังคมหลากหลายกลุ่มจนเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนในช่วงที่ทำงานอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
สมัยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 พล.อ.เกรียงไกร ประสบเหตุเฮลิคอปเตอร์ “แบล็กฮอว์ก” ลงจอดฉุกเฉินที่ อ.เทพา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 15 ก.ค.65 ขณะเดินทางลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อไปปฏิบัติภารกิจ โดย พล.อ.เกรียงไกร ได้รับบาดเจ็บ เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลนานหลายเดือน แต่ก็ไม่เคยทิ้งงาน เซ็นเอกสารแม้ช่วงที่พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล กระทั่งได้ขยับขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. เข้าไลน์ 5 เสือ ทบ.ในปีสุดท้ายของชีวิตราชการ
ส่วน พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง หรือ “บิ๊กเจ้า” เป็นตำรวจน้ำดี สไลด์จากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เข้าดำรงตำแหน่ง “แม่ทัพนครบาล” แบบพลิกความคาดหมาย ในการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี 65 ที่ผ่านมา ตั้งแต่รับตำแหน่งสามารถสะสางคดีใหญ่ๆ ได้มากมาย แม้หลายคดีที่เกิดขึ้นในความรับผิดชอบจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ตำรวจ และถูกวิจารณ์จากสังคม แต่เจ้าตัวก็มุ่งมั่นแก้ไขปัญหา ไม่ตอบโต้ผ่านสื่อ กระทั่งฝ่ากระแสต่างๆ มาได้ และได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“บิ๊กเจ้า” ยังได้รับการยอมรับในแง่ของความใจซื่อ มือสะอาด ตรงไปตรงมา และเข้มในระเบียบวินัย โดยยังเหลืออายุราชการอีก 1 ปี จะเกษียณในปี 2567