กอ.รมน.แจงเหตุใช้กระบวนทางกฎหมายกับ “บก. - นักข่าววาร์ตานี - พ่อบ้านใจกล้า” ไม่ใช่กลั่นแกล้ง แต่เพื่อความสงบเรียบร้อย หลังพบมีพฤติกรรมส่อเคลื่อนไหวปลุกระดมขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ รับบริจาคแต่นำเงินไปใช้กิจกรรมอื่นจนขัดแย้งกันเอง พ่วงออกหมายเรียกแกนนำชักชวนคนสกัดขุดศพอ้างเป็น “ยาห์รี ดือเลาะ” ขึ้นมาพิสูจน์ ทั้งที่ผลตรวจลายนิ้วมือยืนยันเป็นคนละคน
หลังจากฝ่ายความมั่นคงตัดสินใจใช้กระบวนการทางกฎหมายต่อนักกิจกรรมภาคประชาสังคม และสื่อทางเลือกในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณี สภ.ธารโต จ.ยะลา ออกหมายเรียก บก.และนักข่าว สำนักสื่อวาร์ตานี รวมถึงการเข้าค้นบ้านของทีมงาน “ชมรมพ่อบ้านใจกล้า” ที่เปิดรับบริจาคเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมจากการปิดล้อมยิงปะทะ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประเด็นการคุกคามสื่อ และจำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมนั้น
ล่าสุดวันพฤหัสบดีที่ 16 มี.ค.66 เพจเฟซบุ๊ก “ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า” ได้ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุหัวข้อและเนื้อความว่า “กรณีเจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการตามกฎหมายต่อนักเคลื่อนไหวปลุกระดมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3 กรณีดังนี้
ในกรณีที่ 1 เมื่อวันที่ 13 มี.ค.66 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดปัตตานี เดินทางไปตรวจค้นตามหมายศาล หาพยานหลักฐานที่บ้านของ นายซาฮารี เจ๊ะหลง ซึ่งเป็นประธานกลุ่มชมรมพ่อบ้านใจกล้า โดยที่ผ่านมานายซาฮารี มีพฤติกรรมดำเนินกิจกรรมเปิดบัญชีในนามชมรมระดมเงินบริจาค อ้างว่าช่วยเหลือครอบครัวของคนร้ายหลายรายที่มีหมายจับในคดีความมั่นคง ซึ่งเสียชีวิตจากการยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ และได้ตรวจสอบพบว่าเงินบริจาคบางส่วนได้นำไปใช้ในกิจกรรมอื่น จนเกิดความขัดแย้งกันเองภายใน ต้องเปลี่ยนมาเปิดรับบริจาคในนามบัญชีของญาติผู้เสียชีวิต
หลังจากเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินบริจาคที่นำไปใช้ในกิจกรรมอื่น และได้นัดหมายให้นายซาฮารี เดินทางไปยังสำนักงานดีเอสไอ เพื่อให้ข้อมูลโดยละเอียดอีกครั้ง
ในกรณีที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ธารโต ได้มีการออกหมายเรียก นายมะนาวาวี ยะโกะ บรรณาธิการกองข่าวภาคสนาม สำนักสื่อวาร์ตานี และ นายมูฮัมหมัดฮาฟีซี สาและ ผู้สื่อข่าวภาคสนามสำนักสื่อวาร์ตานี ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 15 มี.ค.66 ในข้อหาร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่ และขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่
สาเหตุของการออกหมายเรียกดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ก.พ.66 โดยในวันนั้น เจ้าหน้าที่ได้เข้าบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ ต.บ้านแหร อ.ธารโต จ.ยะลา และเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้น ทำให้คนร้ายคือ นายอิบรอเฮม สาและ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
ต่อมานายมะนาวี และนายมูฮัมหมัดฮาฟีซี ได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่ และใช้เพจเฟซบุ๊กสำนักสื่อวาร์ตานี ทำการไลฟ์สดผ่านเพจดังกล่าว มีลักษณะปลุกระดมมวลชนจากภายนอกพื้นที่ให้เข้ามา และได้ทำการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดกระทบกระทั่งกับมวลชนที่ถูกปลุกระดมเข้ามา และพบว่าได้มีการเคลื่อนไหวในลักษณะเผยแพร่ข้อมูลที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง โดยเฉพาะการที่มีกลุ่มประชาชนออกมาตะโกนเรียกร้องเอกราชในระหว่างการแห่ศพของผู้เสียชีวิต
ในกรณีที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ออกหมายเรียก นายอาร์ฟาน วัฒนะ ซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญที่มักจะมีการเคลื่อนไหวปลุกระดม นำมวลชนเข้าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อยู่เป็นประจำ โดยให้เข้าไปให้ปากคำที่ สภ.สุไหงปาดี ในวันที่ 16 มี.ค.66 จากเหตุพฤติกรรมการปลุกระดมมวลชน เข้าขัดขวางการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการขุดศพของบุคคลที่ได้รับการแอบอ้างว่าเป็นศพของนายยาห์รี ดือเลาะ ซึ่งเป็นผู้ต้องหามีหมายจับในคดีความมั่นคงจำนวน 2 หมาย (การปลุกระดมอ้างว่าถูกอุ้มฆ่าฝั่งมาเลเซีย ทิ้งแม่น้ำโก-ลก)
โดยจากการตรวจสอบผลพิมพ์ลายนิ้วมือจากฝ่ายปกครองแล้ว ศพดังกล่าวไม่ใช่นายยาห์รี จึงจำเป็นต้องขุดศพเพื่อตรวจสอบหาดีเอ็นเอว่า เป็นบุคคลใด เพื่อนำศพคืนให้ญาติที่แท้จริง รวมทั้งเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าผู้เสียชีวิตเป็นพี่น้องชาวมุสลิมจริงหรือไม่ ซึ่งตามกฎหมายและคำวินิจฉัยของสำนักจุฬาราชมนตรี (ฟัตวา) ที่ 04/2549 อนุโลมให้ขุดศพขึ้นมาทำการชันสูตรพลิกศพได้
ทางศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุอีกว่า ในปัจจุบันมีบางองค์กร บางสื่อโซเชียล ซึ่งเป็นของกลุ่มที่เห็นต่างจากรัฐได้พยายามออกมาสื่อสารเพื่อปลุกระดมกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีความเป็นธรรม, เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปใช้อำนาจนอกกระบวนการยุติธรรมเพื่อกลั่นแกล้งบุคคลเหล่านั้น อีกทั้งยังมีความพยายามเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ เพื่อหาช่องทางขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ
จากพฤติการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาของผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นหรือได้รับหมายเรียก เป็นบุคคลที่ต้องสงสัย มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ทำให้เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย อีกทั้งการตรวจค้นเพื่อหาพยานหลักฐาน หรือการออกหมายเรียกเพื่อสอบปากคำในฐานะพยาน ไม่ใช่เป็นผู้ต้องหาเสมอไป จึงไม่ใช่การกลั่นแกล้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งตามที่ได้มีความพยายามกล่าวหา
อีกทั้งการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความชอบธรรมและชอบด้วยขั้นตอนของกฎหมาย โดยรัฐต้องดำเนินการต่อทุกคนทุกกลุ่มที่กระทำผิดโดยไม่เลือกปฏิบัติ จึงขอให้พี่น้องประชาชนกรุณาใช้วิจารณญาณ ตรึกตรองถึงเหตุผลในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เพราะกระทำไปเพื่อรักษาและธำรงไว้ ซึ่งสิทธิของประชาชนส่วนใหญ่ รวมทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับความสูญเสียจากการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง มิใช่เพื่อปกป้องคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะการปกป้องกลุ่มคนร้าย ดังที่บุคคลบางกลุ่มและแนวร่วมกำลังกระทำอยู่