“ศิธา - ไทยสร้างไทย” ท่องชายแดนใต้ เผยศักยภาพพื้นที่พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญได้ พร้อมเป็นศูนย์กลางผลิตอาหารฮาลาลของโลก ชี้ที่ผ่านมาถูกปิดกั้นด้วยกฎหมายพิเศษขวางการทำมาหากิน จี้คืนเสรีภาพให้คนในพื้นที่ ด้านพรรคประชาชาติเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 สงขลา ท้าชนภูมิใจไทย
วันเสาร์ที่ 15 ต.ค.65 น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย และ ดร.ศักดิ์ณรงค์ ศิริพร ณ ราชสีมา รองเลขาธิการพรรค เดินทางไปท่องเที่ยวและรับฟังเสียงผู้ประกอบการใน จ.ปัตตานี โดยนั่งรถไฟจากสถานีหาดใหญ่ไปลงสถานีวัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เพื่อสักการะหลวงปู่ทวด
จากนั้นล่องเรือประมงเล็กท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ที่แม่น้ำยะหริ่ง ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ซึ่งหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว Unseen in Thailand ก่อนจะเดินทางไปตัวเมืองปัตตานี เดินเล่นถ่ายรูปที่สตรีทอาร์ต และพบกับเครือข่ายศิลปะภาพยนตร์ ชมศิลปะร่วมสมัยที่สร้างสรรค์โดยคนรุ่นใหม่เมืองปัตตานี
นอกจากนี้ยังร่วมเสวนากับภาคเอกชน ภาควิชาการ และ นายอดิลัน อาลีอิสเฮาะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปัตตานี เขต 1 ของพรรคไทยสร้างไทย ในหัวข้อ "จากบังเกอร์สู่ Creative Culture ปลดล็อกสู่ดินแดนแห่งโอกาส"
น.ต.ศิธา กล่าวว่า เมืองปัตตานีและจังหวัดชายแดนใต้เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความงดงามของธรรมชาติ และผู้คนที่ยิ้มแย้มมีน้ำใจ แถมยังเดินทางสะดวก นั่งรถไฟจากตัวเมืองหาดใหญ่มาประมาณชั่วโมงนิดๆ วันนี้ปัตตานีและจังหวัดชายแดนภาคใต้พร้อมแล้วที่จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้ชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในช่วงการเปิดประเทศหลังโควิด-19
ขณะเดียวกันที่นี่ยังมีอาหารฮาลาลที่มีวัตถุดิบมาจากเครื่องแกงใต้รสชาติจัดจ้าน ทำให้รสชาติอาหารที่นี่อร่อย ไม่เหมือนกันประเทศมุสลิมอื่นๆ ประกอบกับประชากรมุสลิมทั่วโลกที่มีถึง 1,565 ล้านคนหรือ 1 ใน 4 ของประชากรโลก หากเราส่งเสริมให้ที่นี่เป็นครัวอาหารฮาลาลโลกที่เสิร์ฟพร้อมอัธยาศัยไมตรีของพี่น้องมุสลิมที่นี่ เราจะสามารถดึงดูดชาวมุสลิมทั่วโลกให้มากิน มาเที่ยวที่นี่ได้อีกมากมาย
น.ต.ศิธา กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทยเห็นศักยภาพพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสามารถออกแบบให้เป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าและอาหารฮาลาลของโลก เพื่อรองรับมุสลิมกว่า 1.5 พันล้านคนได้ โดยเฉพาะการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร-อาหารอุตสาหกรรม การให้บริการการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจุดแข็งในพื้นที่ชายแดนใต้ และถือว่าเป็นการสร้างโอกาสให้แก่พี่น้องในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง
“แต่โอกาสพวกนี้ถูกปิดกั้นด้วยการใช้กฎหมาย ใช้กำลังทหารมากดทับการทำมาหากินของประชาชน โดยภาครัฐควรถ่วงดุลระหว่างการทำมาหากินของประชาชนและการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์แต่ละห้วงเวลา”
“จะเป็นแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวได้อย่างไร ถ้ายังมีแต่บังเกอร์ มีด่านทุก 100 เมตร มีทหารถือปืนอยู่ทุกที่ หรือมีการประกาศกฎอัยการศึก รวมทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อเนื่องยาวนานมาเกือบ 20 ปี เราต้องปลดล็อกพันธนาการเหล่านี้ คืนโอกาสทำมาหากิน คืนเสรีภาพและประชาธิปไตยให้พี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แล้ว” น.ต.ศิธา กล่าว
@@ ประชาชาติเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 สงขลา
วันเดียวกัน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ เดินทางไปที่ โรงเรียนศาสน์สันติธรรม ต.บ้านโหนด อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา พบปะกับครอบครัวของ นายอับดุลเราะมัน มอลอ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 สงขลา พื้นที่ อ.สะบ้ายอย กับ อ.นาทวี ของพรรคประชาชาติ
สำหรับ นายอับดุลเราะมัน เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ และเป็นวิทยากรฝึกอบรมด้านความขัดแย้งและการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง, วิทยากรฝึกอบรมด้านเยาวชนกับการรับใช้สังคม เป็นบุตรชายของ “บาบอโอ๊ะ” แห่งปอเนาะกะเชะ ต.บ้านโหนด อ.สะบ้าย้อย เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในกลุ่มนักกิจกรรมภาคใต้ โดย “บาบอโอ๊ะ” เคยมีบทบาททางการเมือง เป็นแกนนำของทั้งพรรคความหวังใหม่และไทยรักไทย
การวางตัว นายอับดุลเราะมัน ซึ่งเป็นมุสลิม และเป็นลูกผู้นำศาสนาที่มีชื่อเสียง เพื่อสู้ศึกเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 สงขลาของพรรคประชาชาตินั้น ถือว่ามีเป้าหมายชนกับพรรคภูมิใจไทยอย่างชัดเจน เพราะคนของพรรคภูมิใจไทยครองเก้าอี้ ส.ส.เขตนี้อยู่ คือ นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ เป็น ส.ส.หนึ่งเดียวของภูมิใจไทยใน จ.สงขลา ซึ่งมี 8 เขตเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562
โดยพรรคประชาชาติมีจุดยืนคัดค้านนโยบาย “ปลดล็อกกัญชา” ที่เป็นนโยบายหาเสียงหลักของพรรคภูมิใจไทย