กลายเป็นการจับกุมเงียบๆ แต่วิจารณ์กันแซ่ดทั่วพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สงขลา และพื้นที่เศรษฐกิจอย่าง “ด่านนอก” ภายใต้ปฏิบัติการของ “บิ๊กโจ๊ก” แต่สะเทือนไปถึง “คนการเมือง”
กลางดึกวันที่ 21 ก.ค.65 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) พร้อมกำลังตำรวจ สภ.สะเดา จ.สงขลา นำโดย พ.ต.อ.บรรเทิง เหล่าสุวรณ ผู้กำกับการ สภ.สะดา จ.สงขลา นำหมายค้นและหมายจับเข้าตรวจค้น บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา ติดชายแดนไทย-มาเลเซีย
ผลการตรวจค้น ได้จับกุม นายเตียว วุย ฮวด หรือ “โทนี่ เตียว” วัย 52 ปี ในข้อหาฟอกเงิน โดย “โทนี่ เตียว” เป็นเจ้าของอาณาจักร เอ็มบีไอ กรุ๊ป ที่ทำธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ครบวงจรและเต็มรูปแบบ ทั้งโรงแรม สถานบันเทิง สวนสนุก รวมไปถึงตลาด อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจประเภทเฟอร์นิเจอร์ บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ในเทศบาลตำบลสำนักขาม ประเมินกันว่ามีมูลค่านับหมื่นล้านบาท
การจับกุมนาย เตียว วุย ฮวด ครั้งนี้ สืบเนื่องจากการจับกุมบุคคลในแวดวงการเมืองหลายรายในพื้นที่ จ.สงขลา และนครศรีธรรมราช ในข้อหาเกี่ยวข้องกับบ่อนการพนันออนไลน์
ตำรวจได้ทำการสืบสวนขยายผล พบว่านายทุนใหญ่ในธุรกิจบ่อนออนไลน์ และธุรกิจผิดกฎหมายอื่นๆ ทั้งทางบก ทางทะเล มี นายเตียว วุย ฮวด อยู่เบื้องหลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้มอบหมายให้ “บิ๊กโจ๊ก” เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวน กระทั่งสามารถรวบรวมพยานหลักฐานจนศาลอนุมัติหมายจับ และนำกำลังเข้าจับกุมในที่สุด และ “บิ๊กโจ๊ก” ก็นำทีมเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ
สำหรับ นายเตียว วุย ฮวด หรือ “โทนี่ เตียว” เริ่มปรากฎตัวในหน้าสื่อไทยครั้งแรก ช่วงเดือน มี.ค.59 หลังจากมีการเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ภาค 4, ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ), พาณิชย์จังหวัด และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เข้าตรวจสอบ บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป เนื่องจากพบว่าเป็นบริษัทข้ามชาติที่เข้ามากว้านซื้อโรงแรมดังในพื้นที่ อ.สะเดา มูลค่าหลายพันล้านบาท แล้วนำไปรีโนเวท สร้างเป็นอาณาจักรสถานบันเทิง หรือ เอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์
โดยพบว่าการถือหุ้นของคนไทย 2 คนในบริษัทที่เปิดลงทุนทำธุรกิจนี้ เป็นการถือหุ้นที่ไม่ถูกต้อง เข้าข่ายเป็น “นอมินี” (ตัวแทน) จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ รวมถึงข้อมูลทางสรรพากรยังพบว่า บริษัทเอ็มบีไอ กรุ๊ป ได้ซื้อและรับโอนหุ้นโรงแรมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จากเจ้าของรายเดิม โดยไม่แจ้งสรรพากร และไม่พบการเสียภาษี
ปี 2560 นายเตียว วุย ฮวด เคยถูกกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกหมายจับ
โดยในครั้งนั้น พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ทางการไทยมีหลักฐานชัดเจนว่า เครือข่ายของ นายเตียว วุย ฮวด มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มทุนฟอกเงินให้เครือข่ายยาเสพติด ทั้งเครือข่าย นายอุสมา สะแลแมง (นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ของภาคใต้ตอนล่าง มีฐานะที่มั่นอยู่ที่ จ.นราธิวาส และเคยถูก คสช.เรียกเข้ารายงานตัว แต่หลบหนี), เครือข่าย นายสีสุก ดาวเฮือง, นายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดชาวลาวที่จนมุมในประเทศไทย รวมถึงเครือข่ายยาเสพติดในไต้หวัน มาเลเซีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกาด้วย
นอกจากนั้น นายเตียว วุย ฮวด ยังยังถูกกองบัญชาการตำรวจประเทศมาเลเซีย อายัดทรัพย์สินในประเทศมาเลเซียทั้งหมด เพื่อทำการตรวจสอบ ในข้อหาของการทำธุรกิจ ”แชร์ลูกโซ่” มีการขายหุ้นธุรกิจในเครือของ เอ็มบีไอ กรุ๊ป ให้กับประชาชนชาวมาเลย์ และประเทศต่างๆ ที่เข้าข่ายความผิดในกฎหมาย ”แชร์ลูกโซ่” ทำให้ นาย เตียว วุย ฮวด ไม่กล้าเดินทางกลับประเทศมาเลเซีย จึงย้ายฐานมาในประเทศไทย โดยเฉพาะที่ ต.สำนักขาม หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ด่านนอก สะเดา” จนถูกออกหมายจับในไทยโดย บช.ปส. แล้วข่าวก็เงียบไป โดยมีรายงานว่า “โทนี่ เตียว” หลุดคดี
จากการแกะรอยความเคลื่อนไหวของ นายเตียว วุย ฮวด พบว่า ปลายปี 62 ปรากฎข่าว เจ้าตัวพร้อมลูกน้องคนสนิท เข้าร่วมอุปสมบทที่ วัดนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา ซึ่งในการเข้าพิธีอุปสมบทของ นายเตียว วุย ฮวด พบว่ามีนักการเมืองคนดังในพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งปัจจุบันนี้ทำงานให้พรรคสีฟ้า และพรรคแกนนำรัฐบาลไปร่วมงานด้วย
โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองพรรคสีฟ้าที่มีฐานเสียงใหญ่และครองพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา มาอย่างยาวนาน โดยที่ตั้งของสำนักงานพรรคก็อยู่ในพื้นที่ของ บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป
นายเตียว วุย ฮวด ยังเป็นที่รู้จักในแวดวงข้าราชการ นายตำรวจ และนักธุรกิจในพื้นที่ จ.สงขลา ทั้งยังเป็นคนทุ่มทุนสร้างองค์พระพิฆเนศใหญ่ที่สุดในภาคใต้ ในพื้นที่ ต.สำนักขาม อ.สะเดา เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้สัการะบูชา
การจับกุม นายเตียว วุย ฮวด ในช่วงที่การเมืองกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ ทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจ, การปรับ ครม.ที่อาจจะมีขึ้นหลังจบศึกซักฟอก แถมหัวหน้าชุดจับกุมยังเป็นมือระดับ “บิ๊กโจ๊ก” จึงเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างช่วยไม่ได้ว่า ปฏิบัติการนี้มีความเชื่อมโยงกับประเด็นทางการเมือง
อย่างน้อยก็ทำให้กลุ่มการเมืองบางค่าย บางพรรค สะเทือนไปเหมือนกัน!