เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ “หลวงปู่แสง” จนมีกระแสตีกลับไปยัง “คณะหมอปลา” และการทำงานของสื่อมวลชน กลายเป็นอีกหนึ่งบทเรียนแห่งยุคสมัยที่ข่าวสารมากมายถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจภายใต้กลไกโซเชียลมีเดีย สื่อกระแสหลัก และผลประโยชน์แอบแฝงในนามของ “ความหวังดีต่อสังคม”
น.ต.เกริก ตั้งสง่า อดีตกรรมการโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ในฐานะนักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา แยกแยะปัญหานี้ไว้ พร้อมเสนอทางออกที่เป็นรูปธรรม
เรื่องนี้ต้องมองแยกเป็น 2 ประเด็น คือ
ประด็นแรก เรื่องการตรวจสอบพระนอกรีต หรือกระทำผิดพระธรรมวินัย ต้องยอมรับว่ากลไกของคณะสงฆ์มีความล่าช้า ไม่ทันการณ์ สมัยก่อนมี “สารวัตรพระ” หรือ “พระวินยาธิการ” แต่ระยะหลังๆ เงียบไป อาจทำให้ประชาชนหันไปพึ่ง “หมอปลา” แทน
ขณะที่กระบวนการตัดสินใจดำเนินการกับพระที่กระทำผิด ส่วนใหญ่ผู้รับผิดชอบเป็นพระชรา หรือมีวัยวุฒิสูง ทำให้หลายกรณีล่าช้า ไม่เท่าทันกับการกระทำผิด สุดท้ายไม่สามารถเอาผิดได้
ฉะนั้นหากจะยกเว้นบางกรณีที่เป็นความผิดซึ่งหน้า ให้ฝ่ายบ้านเมืองดำเนินการ แล้วส่งตัวไปสึกได้เลย ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาได้บางส่วน
ส่วนที่มีข่าวในแวดวงพระสงฆ์ไม่สบายใจที่มีปฏิบัติการพาสื่อมวลชนและชาวบ้านบุกจับพระ หรือบุกเข้าตรวจค้นวัด กุฏิพระ โดยไม่ได้รับอนุญาต จนก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หรือสร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนา จึงมีการเสนอให้ออกกฎเหล็กห้ามบุคคลภายนอกเข้าวัด ตรวจค้นวัดโดยพลการ หรือฟ้องกลับผู้กระทำการนั้น
น.ต.เกริก มองว่า ได้ทราบความเคลื่อนไหวนี้อยู่เหมือนกัน แต่มองว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะก็มีพระอีกกลุ่มที่เห็นว่า ถ้าไม่ได้ทำผิดจะกลัวอะไร และวัดต้องเปิดรับทุกคน
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีประเด็นน่าคิดว่า ถ้าวัดเปิดให้ทุกคนเข้าได้ แล้วทำไมต้องปิดล็อกโบสถ์ คำตอบก็คือเพื่อป้องกันโจรหรือขโมยเข้าไปลักของมีค่าในโบสถ์ วิหาร ฉะนั้นทางออกของเรื่องนี้ในเบื้องต้น คือ การตรวจสอบพระสามารถทำได้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ และอย่าใช้สื่อไปพิพากษาบุคลอื่นอย่างไม่ยุติธรรม เพราะสื่อที่มีจรรยาบรรณต้องหาข้อมูลให้ชัดเจนก่อนนำเสนอ
ประเด็นที่ 2 เรื่องของหลวงปู่แสง สรุปได้ว่า “ลูกศิษย์เป็นเหตุ” เป็นการ “อุ้มหลวงปู่ที่ป่วยเกือบจะไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว ออกมาหาศรัทธา” ฉะนั้นเมื่อหลวงปู่มีผลตรวจของแพทย์ชัดเจนว่าป่วย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คนรอบข้างย่อมผิดทั้งหมด ซึ่งมี 3 กลุ่ม
-ลูกศิษย์ที่เป็นพระ
-ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาส
-ญาติโยมที่เข้าหาท่าน เพราะต้องรู้ว่าอะไรควรปฏิบัติ หรือไม่ควรปฏิบัติ ต้องคิดได้ว่าควรเข้าไปหาท่านหรือไม่ ขณะที่อีกด้าน ถ้าพระจะคิดไม่ดีก็ต้องพาเข้าไปในที่รโหฐาน ไม่ใช่ทำกันต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้
อีกกลุ่มหนึ่งที่ผิด คือ สื่อ และโซเชียลมีเดียที่ทำลายระบบยุติธรรม เช่น มีภาพ 10 เฟรม นำมาเผยแพร่แค่ 2 เฟรม แล้วตัดสินว่าผิดเลย แบบนี้ไม่ยุติธรรม
การทำงานของสื่อ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสืบหาข้อมูลก่อนว่า หลวงปู่ป่วยจริงหรือไม่ หรือถ้าไปตั้งกล้องรอถ่าย ก็น่าจะมีภาพตอนลูกศิษย์ต้องอุ้มท่านออกมา ท่านช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ แล้วจะไปลวนลามสีกาได้อย่างไร ถ้ามีภาพพวกนี้แล้วไม่ปล่อยออกมา แต่เลือกปล่อยเฉพาะบางภาพ ย่อมถือเป็นการประหารชีวิตโดยไม่ได้สอบสวน
บทเรียนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ สื่อที่เสนอข่าวผิดพลาดไปแล้วจะรับผิดชอบอย่างไร หรือแม้แต่หมอปลา เพราะพระคงไม่ไปฟ้องฆราวาส การนำดอกไม้ธูปเขียนมาขอขมาแล้วจบ มันง่ายไปหรือไม่ องค์กรวิชาชีพสื่อควบคุมกันเองได้จริงหรือเปล่า ถือเป็นโจทย์ข้อใหญ่ของสื่อมวลชนไทย ทุกคนทราบดีว่าพระไม่ดีก็มีอยู่ แต่การตรวจสอบต้องไม่ใช่การทำลายพระพุทธศาสนา
และล่าสุดเมื่อมีการยอมรับออกมาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการ “จัดฉาก” ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ. ต้องเป็นเจ้าภาพ ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และเป็นเลขานุการผู้ถวายงานให้มหาเถรสมาคม หรือ มส. ต้องดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
เรื่องนี้ถ้าทาง พศ.ไม่ทำอะไรเลย อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เสียเอง