เปิดข้อมูลผลตรวจปืน 2 กระบอกของผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่สิ้นชื่อจากเหตุปะทะที่สายบุรึ พบถูกใช้ก่อเหตุ 11 คดี เจ็บ-ตาย 16 ชีวิต รวมทั้ง 3 ศพตระกูลกิตติประภานันทน์
ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายเข้าปิดล้อมและยิงปะทะกับผู้ต้องหาคดีความมั่นคงในพื้นที่ ต.ละหาร อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 20 ม.ค.65 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิต 2 คน คือ นายมารวาน มีทอ และนายรอซาลี เจะเลาะ มีหมายจับรวมกันทั้งสิ้นถึง 14 หมาย และเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดปืนเล็กยาว AK 47 (อาก้า) และ AK 102 ได้อย่างละ 1 กระบอก พร้อมลูกระเบิดขว้างอีก 1 ลูก
หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้นำยุทโธปกรณ์ที่ยึดได้ทั้งหมดส่งตรวจหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ผลตรวจพบว่าอาวุธปืนสงครามทั้ง 2 กระบอกเคยใช้ก่อเหตุความไม่สงบมาแล้ว 11 คดี มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 16 ราย ประกอบด้วย
- อาวุธปืน AK 102 ถูกปล้นมาจากฐานปฏิบัติการชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) กะรุบี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี เมื่อปี 55 หลังจากนั้นได้ถูกนำไปใช้ก่อเหตุความรุนแรงเรื่อยมาถึง 7 คดี ทั้งเหตุกระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะเหตุการณ์ประกบยิงและจุดไฟเผา 3 พ่อลูกและหลานตระกูลกิตติประภานันท์ บนทางหลวงแผ่นดินสาย 42 จนเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม ในเขตพื้นที่ อ.สายบุรี เมื่อวันที่ 24 เม.ย.64
- อาวุธปืน AK 47 พบว่า ใช้ก่อเหตุมาแล้ว 4 คดี ตั้งแต่ปี 58 จนถึงปัจจุบัน
พ.อ.เกียรติศักดิ์ ณีวงษ์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวว่า จากประวัติและพฤติกรรมของคนร้าย รวมทั้งผลการตรวจหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มีหลักฐานบ่งชี้ว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายเคยก่อเหตุความรุนแรงที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งของเจ้าหน้าที่รัฐและพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่กดดันให้ต้องเป็นโจร หรือต้องเลือกใช้ความรุนแรง ตามที่เครือข่ายแนวร่วมพยายามบิดเบือนในสื่อสังคมออนไลน์แต่อย่างใด
กอ.รมน.ภาค 4 สน. ขอแสดงความเสียใจกับทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ได้ใช้ดุลยพินิจและความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เพื่อนำคนร้ายเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายโดยไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสีย แต่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองด้วยเช่นกัน และ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยังคงยึดมั่นในเจตนารมย์ของการแก้ปัญหาในเชิงสันติวิธีที่พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เห็นต่างจากรัฐเข้ารายงานตัวแสดงตนเพื่อเข้าต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม โดยสามารถแจ้งผ่านผู้นำในพื้นที่ บุคคลที่ไว้วางใจหรือแจ้งผ่านสายด่วนแม่ทัพภาคที่ 4 : 061-1732999 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
@@ ย้อนเหตุฆ่าเผา 3 ศพบนถนนสาย 42
สำหรับเหตุสะเทือนขวัญฆ่าและเผา 3 ศพ พ่อ-ลูก-และหลาน ตระกูลกิตติประภานันทน์ ขณะกำลังขนส่งสินค้าจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไปส่งที่ จ.นราธิวาส ทำให้ทั้ง 3 คนเสียชีวิตนั้น เหตุเกิดบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 ปัตตานี-นราธิวาส ในท้องที่ อ.สายบุรี เมื่อวันที่ 24 เม.ย.64 เป็นเหตุสะเทือนขวัญที่ร้ายแรงที่สุดเหตุการณ์หนึ่งของปีที่แล้ว
เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ “น้องแนน” ลูกสาวคนเล็กของตระกูล “กิตติประภานันทน์” ซึ่งยังเป็นนักศึกษาปี 2 ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ต้องสูญเสียคุณพ่อ พี่สาว และญาติไปพร้อมกันในคราวเดียว
นี่คือผลพวงจากความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรัฐบาลกำลังเปิดโต๊ะพูดคุยเพื่อสันติสุขกับกลุ่มบีอาร์เอ็น ขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนซึ่งมีบทบาทในสถานการณ์ความไม่สงบมากที่สุดตลอด 18 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่งนัดพบปะกันล่าสุดเมื่อวันที่ 11-12 ม.ค.65 มีการแถลงข่าวใหญ่โตที่ จ.ภูเก็ต และทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลง “ลดความรุนแรงร่วมกัน” แต่เหตุร้ายยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะต่อเนื่องในพื้นที่ปลายด้ามขวาน