24 สิงหาคม 2564 เป็นวันที่ต้องบันทึกเอาไว้ เพราะเป็นวันที่กระทรวงยุติธรรมผลักดันให้ถอด “พืชกระท่อม” ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ
เรียกว่าเป็นวัน “ปลดล็อก” ให้ประชาชนสามารถปลูก กิน ใช้ และขายพืชกระท่อมได้โดยไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป
โดยในวันเดียวกันนี้ ได้มีการปล่อยผู้กระทำความผิดตามกฎหมายเดิมจำนวน 1,038 ราย ออกจากเรือนจำ โดยให้ถือว่าไม่เคยกระทำความผิด
ส่วนผู้ถูกจับกุมคุมขังเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในชั้นต่างๆ เกี่ยวกับการครอบครองและขายพืชกระท่อม ให้ดำเนินการปล่อยตัวบุคคลเหล่านั้นเป็นอิสระ
@@ “สมศักดิ์” บิดาพืชกระท่อม
บุคคลที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในเรื่องนี้ คือ รัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ซึ่งกลายเป็น “ผลงานชิ้นโบแดง” และได้รับการยกย่องเป็น “บิดาแห่งพืชกระท่อม”
รัฐมนตรีสมศักดิ์ เล่าย้อนถึงที่มาของการปลดล็อกพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดเอาไว้อย่างน่าสนใจ
“ผมได้สัมผัสกับคนในภาคใต้ที่หวังจะใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อม เพราะมีสารไมตราเจนีน ที่เป็นสารทดแทนมอร์ฟีน และสารเซเว่น-ไฮดรอกซี ที่เพิ่มกำลังให้ผู้บริโภค ซึ่งต้องมีการศึกษาวิจัยกันต่อไป เพราะในตำราแพทย์แผนไทยก็ได้นำพืชกระท่อมไปใช้เป็นยารักษาโรค เป็นประโยชน์ต่อทั้งการแพทย์และเกษตรกรผู้ปลูก”
จากการศึกษาของรัฐมนตรีสมศักดิ์ พบว่า พืชกระท่อมถูกบรรจุเข้าเป็นบัญชียาเสพติดของไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2486 เพราะรัฐบาลในขณะนั้นต้องการเก็บภาษีฝิ่น การห้ามเสพกระท่อมจึงถูกใช้เป็นเหตุผลทางการค้าและการเมือง
@@ เฝ้าระวัง “สี่คูณร้อย”
การถอด “พืชกระท่อม” ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 26 พ.ค.64 และมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งก็คือวันที่ 24 ส.ค.64 นั่นเอง
หลังจากนี้ประชาชนสามารถเข้าถึงการปลูกและแปรรูปพืชกระท่อมได้ โดยสามารถรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ เป็นวิสาหกิจชุมชน หรือแม้แต่เป็นบุคคลทั่วไป เพื่อจำหน่ายเองได้ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชาวบ้านอย่างแท้จริง
แต่ประเด็นสำคัญนอกเหนือจากการปลดล็อกที่มองข้ามไม่ได้ ก็คือการกำหนดมาตรการกำกับดูแลและป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนนำ “พืชกระท่อม” ไปใช้ในทางที่ผิด
โดยเฉพาะ “สี่คูณร้อย” ที่นำน้ำต้มใบกระท่อมไปผสมกับของมึนเมา หรือเครื่องดื่มชูกำลัง แล้วใช้เป็นสารเสพติด
@@ ชายแดนใต้ผวา “น้ำใบกระท่อม”
“สี่คูณร้อย” ระบาดหนักในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เคยมีรายงานว่าถูกใช้เพื่อดื่มย้อมใจก่อนก่อเหตุรุนแรงด้วยซ้ำ ฉะนั้นการปลดล็อก “พืชกระท่อม” ก็สร้างความกังวลใจให้พี่น้องที่ปลายด้ามขวานเช่นเดียวกัน
นางตอฮีเราะ (สงวนนามสกุล) ชาวบ้าน จ.ยะลา บอกว่า โลกวิบัติหมดแล้ว ของมึนเมากลับทำให้ถูกกฎหมายได้ ต่อไปเยาวชนจะเสียคน เสียสุขภาพอีกเยอะ และจะทำลายคนดีให้เป็นคนไม่ดี
“ของพวกนี้อยากขอให้เยาวชนหยุดกินมันดีที่สุด แต่เมื่อกฎหมายเปิดให้กระท่อมไม่เป็นยาเสพติดอีกต่อไป ความวุ่นวายก็คงจะตามมาอีกเยอะ แค่นี้สังคมก็วุ่นวายมากพอแล้ว เกิดปัญหาอีกหลายอย่างตามมา โดยเฉพาะการลักขโมยของในหมู่บ้าน ทุกอย่างหายหมด แม้แต่กล้วยยังหาย มะพร้าว หายหมด เพราะวัยรุ่นติดยา ดื่มน้ำกระท่อมแล้วไม่ทำงาน ได้แค่ขโมยของชาวบ้านไปขาย”
@@ เตือนผสมเป็นสารเสพติดก็ผิดอยู่ดี
ในมิติทางความมั่นคง พ.อ.เกียรติศักดิ์ ณีวงษ์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวว่า การปลดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ในทางความมั่นคงไม่น่ากังวลอะไร อีกอย่างจริงๆ แล้วชาวบ้านรู้ดีว่าการกินของพวกนี้ไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่ได้เพิ่มพลังอะไร
“ผมยืนยันว่า ไม่มีผลอะไรต่อความมั่นคง ทางรัฐบาลต้องคิดดีแล้วที่ปลดกระท่อมออกจากยาเสพติด” โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. กล่าว แต่ก็ฝากไปยังพี่น้องประชาชนว่า เมื่อไม่ผิดกฎหมายแล้ว การต้มดื่ม การต้มเพื่อวางจำหน่วยแล้วนำมาผสมสิ่งอื่นเข้าไป จะกลายเป็นยาเสพติด ถ้าแปรรูปเป็นยาเสพติด ก็ยังเป็นความผิดอยู่ ประเด็นอยู่ตรงนี้
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนนายหนึ่งในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ตอนนี้พืชกระท่อมสามารถกินได้ตามวิถีชาวบ้านแล้ว ไม่ผิดกฎหมาย ยกเว้นการนำไปใช้ในทางที่ผิดของเด็กและเยาวชน เช่น เอาไปผสมยาเสพติดที่เรียกกันว่า “สี่คูณร้อย” และการซื้อขายนำเข้าส่งออกต่างประเทศในเชิงอุตสาหกรรม เพราะจะมีผลกับกฎหมายอื่นอีกหลายฉบับ
@@ ผู้นำศาสนาให้ระวังขัดบริบทศาสนา
ด้าน นายนิมุ มะกาเจ ผู้นำศาสนา และผู้ทรงคุณวุฒิจังหวัดยะลา บอกว่า สารเสพติดในมุมของอิสลาม ถือว่าไม่ฮาลาลอยู่แล้ว ส่วนการใช้พืชกระท่อม จริงๆ แล้วต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ “ใบกระท่อม” กับ “น้ำกระท่อม”
ถ้าเป็น “ใบกระท่อม” ชาวบ้านทั่วไปเอามาเคี้ยว เป็นสิ่งเสริมพลังในการทำงาน ก็เป็นพฤติกรรมทั่วไปของชาวบ้าน ซึ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ค่อยเอิกเกริกกับเรื่องอย่างนี้กัน เพราะมุสลิมโดยทั่วไปถ้าเป็นของมึนเมาก็เป็นสิ่งที่ละเว้นอยู่แล้วโดยวิถี
ส่วน “น้ำใบกระท่อม” เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติดทั้งหลาย อย่าง “สี่คูณร้อย” ที่ใช้น้ำกระท่อมผสมพวกยาแก้ไอ พวกยากันยุง สิ่งเหล่านี้เมื่อวัยรุ่นนำมาต้มดื่มกิน ก็จะมามั่วสุมตั้งวงกันร้องเพลงกัน แบบนี้ขัดกับบริบทของศาสนาชัดเจน ถ้าน้ำต้มกระท่อมแพร่หลายมากขึ้น จะทำให้ระบบของครอบครัวมีปัญหาเสียหายไปด้วย เมื่อถูกจับกุมก็เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน
“บรรดาผู้นำศาสนาเป็นห่วงในเรื่องนี้ด้วย กลัวว่าลูกๆ หลานๆ จะไปติดโดยอัตโนมัติจากปัญหาในระบบของกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ ตรงนี้ทำให้ผู้นำศาสนาเวลามีการออกดะวะห์ก็จะมีการพูด และให้คำสอนในการป้องกัน”
“ถ้าเราจะเสรีในเรื่องอย่างนี้ คงต้องมีมาตรการในการนำไปใช้ให้ชัดเจน เพราะว่าถ้าไม่วางมาตรการในการนำไปใช้ มันมีโอกาสทำให้เกิดความเสื่อมเสีย และเกิดการระบาด รวมถึงมีปัญหาอื่นๆ ตามมา คนเราถ้าเกิดมึนเมาขึ้น แล้วไปทำร้ายคนอื่น ไปลักขโมย ก็จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ปัจจุบันคนตกงาน ไม่มีงานทำ ยิ่งเอาสิ่งนี้ไประบายทุกข์กับตัวเอง ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่อันตราย” ผู้ทรงคุณวุฒิจังหวัดยะลา กล่าว
และเสนอว่า รัฐต้องมีมาตรการในการนำไปใช้ หรือนำไปปรุงแต่ง อยากให้จริงจังเรื่องนี้ เพราะส่วนใหญ่นโยบายถูกคิดจากข้างบน แต่คนปฏิบัติเป็นคนข้างล่างคน เพราะฉะนั้นการวางกฎวางกติกาทั้งหลายต้องให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมให้มาก
@@ ชาวบ้านอีกกลุ่มเฮ! ทั้งปลูกทั้งขายเสรี
ชาวบ้านกลุ่มที่สนับสนุน “กระท่อมเสรี” ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน
นางมัสนี (สงวนนามสกุล) ชาวบ้าน จ.ปัตตานี กล่าวว่า ที่บ้านปลูกไว้ 1 ต้น ปลูกแบบแอบๆ มา 5 ปีแล้ว ปลูกไว้กินแก้ความดัน แรกๆ ขอจากวัยรุ่นมาเคี้ยวกินเวลาความดันขึ้น หลังๆ วัยรุ่นก็เอาต้นมาให้ ตอนนี้โตสูงกว่าศีรษะแล้ว แต่ปลูกพืชอื่นแซม เพื่อหลบตาเจ้าหน้าที่
“เรากินเพื่อแก้ความดันเท่านั้น ไม่ได้กินแบบผสม ในทางอิสลามก็ถือว่าไม่ผิดถ้ากินเป็นยา แต่ถ้ากินเพื่อหวังผลให้มึนเมา ข้อนี้ผิด เพราะอิสลามสั่งห้ามของมึนเมา มันจะทำให้เกิดโทษอีกหลายอย่างตามมา แต่ถ้าเป็นยากินได้”
"ในส่วนของวัยรุ่น ก็อยากให้เขาระวัง ไม่ใช่ว่าพอไม่ผิดกฎหมายแล้วดื่มผสมตามอำเภอใจ ทุกคนก็รู้ว่ากินผสมมันมีข้อเสียเยอะเหมือนกัน ก็อยากให้คนที่ผสมระวังและดื่มพอเป็นพิธี อย่าดื่มจนเสียสุขภาพ"
ขณะที่ นายอาหามะ (สงวนนามสกุล) เยาวชน จ.ยะลา กล่าวว่า ดีใจมาก ต่อไปจะได้ไม่ต้องเป็นคนทำผิดกฎหมายแล้ว ต้องขอบคุณที่เห็นคุณค่าสมุนไพรบ้านเรา ในส่วนข้อเสีย พวกตนเข้าใจและระวังอยู่แล้ว
“เหตุผลที่เรากิน เพราะมันจะทำให้เราทำงานได้มาก แข็งแรงกว่าที่ไม่กิน ช่วยทำให้เพิ่มพลัง ใครบ้างจะไม่เอา กินกระท่อมดีกว่ายาบ้า ยาม้าเยอะ ดีแล้วที่ปลดล็อกไม่ให้ผิดกฎหมาย” อาหามะ กล่าว