ข่าวคราวการปิดล้อมและยิงปะทะที่ป่าสาคู ในท้องที่ ต.กะดุนง อ.สายบุรี รอยต่อกับ ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี แทบจะถูกผูกขาดโดยฝ่ายรัฐเพียงข้างเดียว
เสียงจากคนที่ถูกปิดล้อม ไม่มีโอกาสได้ฟังอยู่แล้ว เพราะถูกกระสุนปืนเสียชีวิตทั้งหมด ส่วนครอบครัวก็รับศพไปประกอบพิธีทางศาสนาอย่างเงียบๆ ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 11 ก.ค.64 หลังสิ้นสุดปฏิบัติการปิดล้อม 6 วันเต็ม
แม้จะผูกขาดการให้ข่าวอยู่เพียงฝ่ายเดียว แต่ข่าวจากฝั่งเจ้าหน้าที่ก็มีสับสนอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะจำนวนผู้เสียชีวิต ข่าวอย่างไม่เป็นทางการระบุว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 4-5 ราย แต่สุดท้ายโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า สรุปปิดท้าย “ตาย 2”
แปลกแต่จริงที่ชาวบ้านในพื้นที่ไม่มีใครสับสน เพราะถามใครก็บอกตรงกันว่าตาย 2 คน และมีพิธีฝังศพ 2 บ้าน 2 ครอบครัว ส่วนข่าวตาย 5 ไม่รู้เอามาจากไหน แต่ได้กลายเป็นช่องทางให้ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐนำไปใช้กระพือข่าวลือ
ชาวบ้านกะดุนง ซึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากจุดปิดล้อม เล่าให้ฟังว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คนเป็นเด็กอีกหมู่บ้านหนึ่ง ไม่ใช่หมู่บ้านที่เกิดเหตุปะทะ ทั้งสองคนหนีจากหมู่บ้านไปตั้งแต่ราวๆ ปี 59-60 จากนั้นก็หายไป ทุกคนรู้ว่าเขาไปอยู่กับขบวนการ (หมายถึงขบวนการติดอาวุธที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน)
ผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ 2 ราย คือ สุไลมาน ดอเลาะ อายุ 33 ปี กับ อัสมาน สะมะแอ อายุ 31 ปี มีภูมิลำเนาใน ต.กะดุนง ทั้งคู่
ชาวบ้านเล่าว่า หลังเจ้าหน้าที่จบภารกิจที่ป่าสาคู ศพของ 1 ใน 2 ผู้เสียชีวิตเริ่มมีกลิ่นแล้ว จึงเชื่อว่า น่าจะตายตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีการปะทะ ส่วนสาเหตุที่คนกลุ่มนี้ไปซ่อนตัวอยู่ในป่าสาคู ชาวบ้านแถบนี้ไม่มีใครรู้ และไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนไปอยู่ตรงนั้นได้
“คนพวกนี้เขาอยากขึ้นสวรรค์ เขายอมลำบากทุกอย่าง” ชาวบ้านเล่าถึงความเชื่อของกลุ่มคนที่เข้าร่วมกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน
เสียงจากชาวบ้านในพื้นที่รอบๆ จุดปะทะหลายคน บ่นให้ฟังเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายกองกำลัง
“วันนี้ (12 ก.ค.) ทหารยังอยู่ในพื้นที่อีก หลังจากเสร็จภารกิจเมื่อเย็นวาน ไม่รู้ว่าเขาเฝ้าอะไร บอกแต่ว่าจะอยู่อีก 2 วัน ช่วงที่มีการปะทะ ทหาร ตำรวจเยอะมาก มีการตั้งเต็นท์บนถนน จอดรถสองข้างทาง ชาวบ้านก็กลัว ได้ยินเสียงปืนเสียงระเบิด ไม่หลับนอนกันเลยกลางคืน แม้มันจะอยู่ท้ายหมู่บ้าน แต่พอเห็นชุดพร้อมรบ เห็นอาวุธ ได้ยินเสียง ชาวบ้านก็กลัวมากแล้ว ถึงวันนี้ชาวบ้านก็ยังไม่ได้กรีดยาง เพราะทหารยังอยู่”
แม้วันนี้เสียงปืน เสียงระเบิดเริ่มจางหาย แต่ใครๆ ก็รู้ว่านี่คงไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายที่มีการปะทะและสูญเสีย
วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ก็จะถอนกำลังกลับ พร้อมยุทโธปกรณ์ทันสมัยนานาชนิดที่ลำเลียงมาปิดล้อมไล่ล่าผู้ต้องหาคดีความมั่นคง 2 ราย ทิ้งเอาไว้แต่ร่องรอยของความสูญเสียและความตาย ท่ามกลางความรู้สึกสะท้อนใจของชาวบ้านว่าทำไมฝ่ายที่มีน้อยกว่า ทั้งจำนวนคนและอาวุธ กลับไม่เคยคิดวางอาวุธและยอมมอบตัว
หลายคนบอกว่าถ้ารัฐไขความจริงข้อนี้ไม่ได้ เหตุรุนแรงลักษณะนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และไฟใต้น่าจะจบยาก...