
เหตุการณ์ทหารไทยเหยียบ “ทุ่นระเบิด” ที่ทหารกัมพูชาลอบวางดักเอาไว้ ล่าสุดเมื่อ 10 พ.ย.68 ส่งผลให้ทหารขาขาดเป็นรายที่ 7 แล้ว
ย้อนดูไทม์ไลน์ จะพบว่า เหตุการณ์หลายครั้งเกิดขึ้นหลังจากวันทำข้อตกลงสันติภาพแล้ว ไม่ว่าจะเรียก “ปฏิญญาร่วมฯ” หรือ “ถ้อยแถลง” ก็ตาม

ซ้ำร้ายบางเหตุการณ์ยังเกิดขึ้นในวันเดียวกับการทำข้อตกลงหยุดยิง อย่างในวันที่ 28 ก.ค.68
ถึงวันนี้ยังไม่มีใครการันตีได้ว่าจะมีขาที่ 8-9-10 ตามมาหรือไม่ เพราะหากติดตามการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ก็มีลักษณะ “พายเรือวนในอ่าง” คือ ประท้วง ประณาม แล้วก็จบไป ยังมองไม่เห็นแนวทางที่จะหยุดการกระทำของกัมพูชาได้
เรียกว่าแค่เล่นไปตามบทที่เคยเล่น แต่ยังไม่มียุทธศาสตร์การเอาชนะ หรือ ยุทธศาสตร์ที่เป็นทางออก ที่เรียกว่า Exit Strategy หรือพูดให้ถูก คือ ยังไม่มียุทธศาสตร์อะไรเลยด้วยซ้ำ
เรื่องนี้คนไทยที่ติดตามข่าวสารจึงได้แต่สะท้อนใจ และทำให้ย้อนนึกถึงปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นมาแล้วเกือบ 22 ปี หรือกว่า 2 ทศวรรษ ถึงวันนี้ยังหาทางออกไม่เจอ ยุทธศาสตร์การเอาชนะก็ดูเหมือนจะยังไม่มี
ที่น่าเศร้าและหลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อนก็คือ ที่ชายแดนใต้มีเหตุการณ์ลอบวาง “กับระเบิด” แบบเดียวกับที่เขมรทำกับทหารไทย แต่เป็น “กับระเบิดแสวงเครื่อง” คือประกอบกันขึ้นเอง ไม่ใช่ “ทุ่นระเบิด” ที่ใช้ในทางการทหาร แต่ก็ร้ายแรงไม่แพ้กัน
ที่สำคัญ เป้าหมายการวาง “กับระเบิด” คือ วางในสวนยางพารา และสวนผลไม้ของชาวบ้านตาดำๆ เพื่อหวังกดดันขับไล่ออกจากพื้นที่ หรือทำให้ไม่สามารถทำมาหากินได้เหมือนเดิม เป้าหมายสุดท้ายคือให้อพยพออกไปจากดินแดนแห่งนี้ เพื่อพวกตนจะได้เข้ายึดครองสวนยาง สวนผลไม้ และสร้างสังคมวัฒนธรรมเชิงเดี่ยวแบบพวกแนวคิดสุดโต่งขึ้นมา

วิภาวรรณ ปลอดแก่นทอง คือหนึ่งในเหยื่อความรุนแรงที่เกิดจาก “กับระเบิดแสวงเครื่อง” เธอโดนลอบทำร้ายคาสวนยางเมื่อปี 2561 ต้องสูญเสียขาซ้าย ตาบอด และมือซ้ายใช้การไม่ได้ ผ่านมา 7 ปี ชีวิตวันนี้ยังจมอยู่กับความทุกข์ เงินช่วยเหลือเยียวยาก็คนใกล้ตัวหักหลังเอาไป
ย้อนกลับไปช่วงเช้ามืดของวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 เวลาประมาณ 05.45 น. เกิดระเบิดขึ้นในสวนยางพารา พื้นที่บ้านแค หมู่ 1 ต.ตาชี อ.ยะหา จ.ยะลา เสียงระเบิดในครั้งนั้นส่งผลให้ วิภาวรรณ ซึ่งในเวลานั้นอายุ 41 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ความเลวร้ายจากเสียงระเบิดจู่โจมชีวิตเธอโดยไม่ทันได้ตั้งตัว วิภาวรรณต้องสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อแพทย์ต้องตัดขาซ้ายตั้งแต่ใต้หัวเข่าลงไป อีกทั้งเธอยังสูญเสียการมองเห็น และมือข้างซ้ายก็ไม่สามารถใช้งานได้อย่างปกติ จากฤทธิ์ของแรงระเบิด

ปัจจุบัน วิภาวรรณ ย้ายไปพักอาศัยที่บ้านอีกหลังหนึ่งใน ต.ตาชี อยู่ห่างจากบ้านหลังเดิมที่ไม่มีอะไรเหลือแล้วประมาณ 300 เมตร โดยบ้านหลังใหม่นี้ เธอใช้เงินเยียวยาที่ได้รับจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ซื้อที่ดินและปลูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยจนถึงปัจจุบัน
แต่สภาพก็ไม่ได้ดีกว่า “เพิงพัก” หลังเดิมซึ่งใช้เป็นแค่สถานที่นอนหลบฝนหลบแดดเท่าใดนัก เนื่องจากก่ออิฐขึ้นอย่างง่ายๆ ตามกำลังทรัพย์ที่มีเพียงเล็กน้อย
วิภาวรรณ เล่าว่า ปัจจุบันเธอสามารถปรับตัวจนสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เองเกือบทั้งหมด ทั้งการขี่รถจักรยานยนต์ไปตลาด ส่งลูกไปโรงเรียน และทำงานบ้าน ผิดกับตอนแรกๆ ที่ยังปรับตัวไม่ได้
“แรกๆ ก็ลำบากมาก ทำไม่ได้ แต่สู้จนตอนนี้ชินกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ต้องยอมรับ ถามว่าลืมไหม อยากบอกว่าไม่เคยลืมเลย มันจำได้ตลอด” วิภาวรรณ บอก

แม้จะสามารถปรับตัวกระทั่งสามารถใช้ชีวิตได้เกือบปกติ แต่สิ่งที่ทำให้ วิภาวรรณ รู้สึกท้อแท้จนต้องแอบร้องไห้อยู่บ่อยๆ คือปัญหาเรื่องรายได้
เธอเล่าว่า เนื่องจากสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะขาที่ไม่สามารถรับน้ำหนักได้เต็มที่ และไม่สามารถยืนหรือเดินบนพื้นผิวที่ไม่ราบเรียบอย่างในสวนยางได้ ทำให้เธอไม่สามารถออกไปรับจ้างกรีดยางได้เหมือนเมื่อก่อน ทุกวันนี้รายได้หลักจึงต้องพึ่งพาสามีและลูกที่ทำงานกรีดยางกัน 2 คน มีรายได้รวมกันเพียงวันละ 300 บาท เพื่อเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวรวม 5 ชีวิต
“วันไหนที่ฝนตกก็ไม่ได้เงินเลย เมื่อก่อนเราทำงานเอง จะทำอะไรก็รู้สึกคล่อง ไม่ได้แย่แบบนี้ แต่ตอนนี้ขาไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าไปรับจ้างกรีดยางอีกก็อาจมีปัญหา”
“ทุกวันนี้นอกจากทำงานบ้าน ดูแลลูก ส่งลูกไปโรงเรียน ก็ดูหลาน ทำอะไรมากก็ไม่ได้ แอบร้องไห้ตลอด ท้อ... รายได้ไม่พอกับรายจ่าย” วิภาวรรณ เล่าพลางปากน้ำตา เพราะน้ำตาเธอไหลออกมา

ความหวังเดียวที่พอจะช่วยให้ครอบครัวเธอมีรายได้เพิ่ม ก็คือ อุปกรณ์ซ่อมรถจักรยานยนต์ เพื่อให้สามีและลูกเปิดร้านซ่อมรถ จะได้มีงานทำหลังกรีดยาง และเธอเองก็สามารถช่วยดูแลงานในร้านได้ด้วย
“สมัยที่เกิดเหตุใหม่ๆ ทางหน่วยงานภาครัฐเคยนำมาให้แล้วครั้งหนึ่ง แต่สามีคนก่อนตอนที่แยกทางกัน เขาขนไปหมด รวมถึงลูกที่พิการ สามีเก่าก็เอาไปด้วย” เธอเล่า
ปัจจุบัน วิภาวรรณอาศัยอยู่กับสามีใหม่และลูกชาย โดยยังคงต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากท่ามกลางภาระค่าใช้จ่ายที่หนักอึ้ง ด้วยความหวังที่จะพลิกฟื้นชีวิตของตัวเองและครอบครัวให้ไม่ขัดสนเหมือนที่ผ่านมา
@@ ชายแดนใต้...ดินแดนขาขาด
เรื่องราวของ วิภาวรรณ เป็นเพียงหนึ่งในหลายสิบชีวิตที่ต้องเผชิญกับเคราะห์ซ้ำกรรมซ้ำแบบนี้
การลอบวาง “กับระเบิด” ในสวนยางพารา สวนผลไม้ ซึ่งเป็นของชาวบ้านตาดำๆ ในสถานการณ์ไฟใต้ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2552 วันที่ 27 สิงหาคม ในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา อำเภอเดียวกับที่วิภาวรรณโดน
เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ นับตั้งแต่ปี 2552 – 2568 เกิดขึ้นทั้งหมด 48 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 4 ราย บาดเจ็บรวม 44 ราย
ปี 2552 เกิดเหตุ 2 ครั้ง
ปี 2553 เกิดเหตุ 19 ครั้ง
ปี 2554 เกิดเหตุ 8 ครั้ง
ปี 2555 เกิดเหตุ 4 ครั้ง
ปี 2557 เกิดเหตุ 1 ครั้ง
ปี 2558 เกิดเหตุ 1 ครั้ง
ปี 2561 เกิดเหตุ 4 ครั้ง
ปี 2564 เกิดเหตุ 2 ครั้ง
ปี 2565 เกิดเหตุ 2 ครั้ง
ปี 2566 เกิดเหตุ 3 ครั้ง
ปี 2567 เกิดเหตุ 1 ครั้ง
ปี 2568 เกิดเหตุ 1 ครั้ง
วันที่ 25 ตุลาคม 2553 เพียงวันเดียว เคยเกิดเหตุสูงสุด 9 เหตุการณ์ บาดเจ็บ 13 ราย
อ่านประกอบ : บึ้มสวนยางซ้ำๆ กับชะตากรรมชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ชายแดนใต้
ขณะที่ปี 2561 เกิดขึ้น 4 เหตุการณ์ และ วิภาวรรณ คือหนึ่งในเหยื่อในครั้งนั้น
ถ้ารัฐบาลไม่ทำอะไรที่เป็นรูปธรรม ชายแดนไทย-กัมพูชา อาจจะกลายเป็นดินแดนขาขาด เหมือนกับที่เคยเกิดมาแล้ว ณ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้...
