มีข่าวความเคลื่อนไหวที่หลายคนให้ความสนใจในช่วงที่โควิด-19 ยังแพร่ระบาด และมีคลัสเตอร์ใหญ่ที่สุดในประเทศคลัสเตอร์หนึ่ง คือ “คลัสเตอร์เรือนจำ”
เมื่อแกนนำพูโลโพสต์เฟซบุ๊กขอให้ชาวปาตานี (คนปัตตานีในความหมายของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน) ละหมาดขอพรให้สมาชิกพูโลที่ติดโควิดอยู่ในเรือนจำบางขวาง
เรื่องนี้น่าสนใจ เพราะสถานการณ์โควิดคลัสเตอร์เรือนจำต้องถือว่าน่ากลัวจริงๆ ยอดติดเชื้อสะสมเฉพาะหลังกำแพงคุก ณ วันที่ 8 มิ.ย.64 อยู่ที่ 29,734 ราย พบการแพร่ระบาดใน 12 เรือนจำ มีผู้เสียชีวิตสะสมถึง 21 ราย เฉพาะวันที่ 8 มิ.ย.ยังมีผู้ต้องขังติดเชื้อเพิ่มอีก 534 ราย
จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมมากขนาดนี้ ย่อมไม่แปลกหากจะมีนักโทษหรือผู้ต้องขังคดีสำคัญติดโควิด และอาจมีอาการป่วยด้วย แต่หลายคนคงไม่คิดว่าจะเป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดน “พูโล” ที่เคยก่อเหตุรุนแรงลอบวางระเบิดกลางกรุงเทพฯ
นายกัสตูรี มะห์โกตา ประธานองค์กรปลดปล่อยสหปัตตานี หรือ พูโล เอ็มเคพี (PULO-MKP) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Kasturi Mahkota ขอให้ชาวปาตานีละหมาดขอพรให้สมาชิกพูโลที่ป่วยติดโควิดในเรือนจำบางขวาง ซึ่งเป็นเรือนจำที่ใช้คุมขัง “นักโทษเด็ดขาด” ซึ่งหมายถึงนักโทษที่คดีถึงที่สุดแล้ว ของประเทศไทย
เนื้อหาที่ นายกัสตูรี โพสต์เอาไว้ มีดังนี้
“วันนี้เราได้รับข่าวที่น่าเศร้าเกี่ยวกับสมาชิก 4 คนของพูโลที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ตามรายงานนั้น ทั้ง 4 คนติดเชื้อโควิด-19 เราพูโลจึงขอให้ชาวปาตานีทุกคนทำการละหมาดฮายัต เพื่อขอพรให้เอกองค์อัลลอฮ์คุ้มครองพวกเขา และพันภัยโรคระบาดครั้งนี้ โดยเร็วที่สุด
เราพูโลหวังว่า ทางการไทยจะรับผิดชอบดูแลพวกเขาอย่างเต็มที่ต่อเหตุการณ์เลวร้ายนี้ เรา PULO และขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ WHO ติดตามเหตุการณ์นี้อย่างใกล้ชิดด้วย”
นายกัสตูรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้ง 4 คนที่พูดถึงในเฟซบุ๊ก คือคนของพูโลในคดีระเบิดรามคําเเหง
“ทีมข่าวอิศรา” ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า สมาชิกกลุ่มพูโลที่ติดคุกอยู่ที่เรือนจำบางขวาง เพราะโดนคดีลอบวางระเบิดย่านมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยทั้ง 4 คนมีภูมิลำเนาเป็นชาว จ.ปัตตานี 3 คน และ นราธิวาส 1 คน
เมื่อวันที่ 20 มี.ค.58 ถูกศาลอาญาพิพากษาในฐานความผิดร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น สืบเนื่องจากเหตุระเบิดหน้าร้านทำผม "ออกัส" ปากซอยรามคำแหง 43/1 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย ร้านค้าแผงลอยและอาคารบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 พ.ค.56
โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้ง 4 คน กระทำผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับคนละ 90 บาท แต่จำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงเหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และจำคุกอีก 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง พร้อมปรับคนละ 60 บาท ฐานพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะฯ รวมโทษจำคุกจำเลยทั้ง 4 คนละ 66 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 60 บาท แต่ตามกฎหมายสามารถจำคุกจำเลยได้คนละไม่เกิน 50 ปี
ต่อมาในชั้นศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษายืน และในชั้นศาลฎีกา เมื่อวันที่ 10 เม.ย.61 ศาลพิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดนั้นเป็นกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดเพื่อฆ่าผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดฯ พ.ศ.2490 มาตรา 78 วรรคสาม ที่เป็นบทหนักสุด โดยให้จำคุกจำเลยทั้ง 4 ตลอดชีวิตเพียงกรรมเดียว คำให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน
ภรรยาของหนึ่งใน 4 ผู้ต้องขังที่ประธานพูโลกล่าวถึง เผยว่า เมื่อวาน (7 มิ.ย.) ได้ทราบข่าวจากเรือนจำว่า สามีป่วย ติดโควิด-19 เช่นเดียวกับคนอื่นๆ อีกหลายพันคนที่อยู่ในเรือนจำบางขวาง หลังทราบข่าวก็ทรุดเลย ได้แต่บอกลูกๆ ที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.1 และอีกคนเรียนอยู่ชั้น ป.6 ให้ละหมาดฮายัตขอพรให้พ่อ
“แม้ทางเรือนจำจะบอกว่า สามีติดโควิดแบบไม่แสดงอาการ แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้” ภรรยาของหนึ่งใน 4 ผู้ต้องขัง กล่าว
ส่วนกรณีที่ประธานพูโลออกมาอ้างว่าสามีเป็นสมาชิกพูโลนั้น ภรรยาของนักโทษคดีระเบิดย่านรามคำแหง บอกว่า “ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะสามีไปรับจ้างทำประมงอยู่ที่มาเลเซีย ก็เลยไม่รู้ข้อมูลของสามีเท่าไหร่ แต่ก็ดีใจถ้าพี่น้องทุกคนร่วมขอดุอาให้สามีปลอดภัยจากโควิด”
เธอยังบอกด้วยว่า ตอนนี้ไม่สามารถไปเยี่ยมสามีได้เลย แม้ทางไลน์ก็ไม่ได้เยี่ยม เพราะสามีอยู่ระหว่างกักตัว ที่ผ่านมาก่อนที่โควิดจะระบาด จะสามารถคุยกับสามีได้ 2 เดือนครั้ง ก็รู้สึกดี ตอนนี้ห้ามเยี่ยมทุกช่องทาง ยิ่งมารู้ว่าป่วยอีก ก็ยิ่งอยากคุยกับสามีมากเลย แต่ก็เข้าใจเจ้าหน้าที่ ช่วงนี้อยู่ระหว่างกักตัว ก็ได้แต่ขอดุอาและละหมาดฮายัตขอพรให้สามีหายป่วยโดยเร็ว