ปัตตานีผลักดันโครงการ “ชราบานโมเดลเฟส 1” นำร่องทำ MOU สร้างความเข้มแข็งเครือข่ายการดูแลผู้มีภาวะสมองเสื่อมในครอบครัวแบบครบวงจรทั้งจังหวัด
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และไม่ใช่โครงการดูแลผู้สูงวัย หรือ “ส.ว.” แบบขำๆ แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจอย่างจริงจัง เพราะผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม 1 คน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสมาชิกที่เหลือในครอบครัว
หากดูแลไม่ดี ปัญหาจะยิ่งบานปลาย และจำนวนผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมมีจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามการขยายตัวของ “สังคมผู้สูงอายุไทย” ปัจจุบันตัวเลขอยู่ที่ 6.8 แสนคน หรือราวๆ 1% ของประชากรทั้งประเทศ
จังหวัดปัตตานีเล็งเห็นถึงความสำคัญของป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากผู้มีภาวะสมองเสื่อม โดยการสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายการดูแลผู้มีภาวะสมองเสื่อมแบบครบวงจร จึงประกาศขับเคลื่อน “ชราบานโมเดลเฟส 1”
โดยชูประเด็นสำคัญยกระดับการดูแลผู้มีภาวะสมองเสื่อมแบบครบวงจร ครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัด ให้สอดคล้องกับสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุที่กำลังเกิดขึ้น ภายใต้เป้าหมาย “สูงวัยอย่างมีคุณค่า ชราอย่างมีคุณภาพ จากไปอย่างมีความสุข” เน้นสร้างระบบการดูแลผู้สูงอายุ, มีกระบวนการคัดกรองอย่างมีคุณภาพ, มีคลินิกผู้สูงอายุคุณภาพ, มีชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ โดยมีการดูแลต่อเนื่องแบบองค์รวม
มื่อเร็วๆนี้ ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี (อบจ.ปัตตานี) ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นำทีมทำ MOU (บันทึกความเข้าใจ) เพื่อการสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายการดูแลผู้มีภาวะสมองเสื่อมแบบครบวงจรจังหวัดปัตตานี ภายใต้โครงการ “ชราบานโมเดล เฟส 1” ซึ่งมี นายแพทย์ อนุรักษ์ สารภาพ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี เป็นที่ปรึกษาโครงการ และมีบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งแพทย์ พยาบาล นักวิชาการ นักพัฒนาชุมชน เจ้าหน้าที่ส่วนปกครองท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อนำความรู้และแผนงานกลับไปปฏิบัติงานจริงในทุกหน่วยงาน
“เรื่องของสมองเสื่อมไม่น่ากลัวถ้าช่วยกัน คือ ชุมชน ครอบครัว ระบบ ร่วมกันดูแล ป้องกัน ชะลอการเกิดภาวะสมองเสื่อม ด้วยกระบวนการทำงานที่คิดใหญ่ เริ่มเล็ก ทำเร็ว เพื่อให้งานสามารถขับเคลื่อนได้ ผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะครอบครัวและชุมชน” นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) และมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย กล่าวถึงโครงการในภาพรวม
ด้าน รองผู้ว่าฯ ตระกูล โทธรรม กล่าวถึงขั้นตอนการดูแลผู้สูงอายุว่า มี 5 ขั้นตอน คือ การคัดกรอง การวินิจฉัย การพัฒนาบุคลากรใน รพ.สต. (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) การเชื่อมบริการกับภาคีเครือข่าย และการพัฒนา จัดการสิ่งแวดล้อมให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม
โดยแผนการขับเคลื่อนโครงการฯ ของ จ.ปัตตานี มีดังนี้
1.กลไกหมอครอบครัว รพ.สต.คลินิกผู้สูงอายุ, โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) คลินิกผู้สูงอายุ, โรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) คลินิกผู้สูงอายุ และชุมชน ชมรมและโรงเรียนผู้สูงอายุ
2.กลไก 3 หมอ (รพช./รพ.สต./อสม.) เครื่องมือคัดกรองอย่างง่ายตามบริบทพื้นที่
3.พัฒนาแบบฟอร์มคัดกรอง เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน
4.สร้างระบบการเชื่อมต่อและส่งข้อมูลผู้ป่วยจาก โรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) สู่ชุมชน
5.ขับเคลื่อนภายใต้กลไกระดับตำบลและกลไก อสม.และผู้ดูแล
ปัญหาการเพิ่มขึ้นของผู้มีภาวะสมองเสื่อม กลายเป็นปัญหาสุขภาพระดับสากลที่คนไทยจำนวนมากยังไม่ตระหนักรู้ถึงความรุนแรง ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กับตัวเองและคนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มผู้มีภาวะเสี่ยงสูงสุด
จากรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ.2564 โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมสูงถึง 6.8 แสนคน จากประชากรรวม 66.7 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้มีภาวะสมองเสื่อมทุกคนจำเป็นต้องมีผู้ดูแลทำหน้าที่ใกล้ชิดทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเหมาะสม ผู้มีภาวะสมองเสื่อมเพียง 1 คน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตของสมาชิกที่เหลือในครอบครัว
แม้ภาวะสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์จะป้องกันไม่ได้ หากภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากความเสื่อมของหลอดเลือดสมองร่วมกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD : ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ และภาวะอ้วนลงพุง) สามารถป้องกันและชะลอได้โดยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงให้ดี อยู่กับการดูแล ความเข้าใจ และทัศนคติของผู้ดูแลและครอบครัว เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตได้จริง
แต่ในปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างการหลงลืมตามวัย กับภาวะสมองเสื่อมได้ จึงทำให้ผู้มีภาวะสมองเสื่อมไม่ได้เข้าสู่ระบบการดูแลที่เหมาะสมกับอาการ จนทำให้เกิดผลกระทบกับชีวิตในมิติสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจทั้งครอบครัว ชุมชน และสังคม