พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว 'บิ๊กเต่า' นำทีมจนท. ป.ป.ช./ป.ป.ท. ทลายเครือข่ายทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก บุกค้นเป้าหมาย 17 จุด 8 หมายจับ รวบตัว 'พันเอกหญิง' พร้อม 'แพทย์หญิง' ตัวการสำคัญขบวนการ เผยข้อมูลลึกแม่ทีมเครือข่ายแลกค่าจ้างร้อยละ 10 แถมรายหัวอีกคนละ 1,500 บาท สอบเส้นทางเงินพบช่วงปี 61-68 มีเงินโอนเข้าบัญชี 40 ล้าน ประเมินความเสียหายเบื้องต้นกว่า 80 ล้าน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 26 มีนาคม 2568 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ ประทุมราช ผกก.1 บก.ปปป. นำเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.1 บก.ปปป. สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 17 จุด 8 หมายจับ ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ลพบุรี และปราจีนบุรี ชลบุรี เพื่อจับกุมผู้ต้องหาขบวนการทุจริตเบิกจ่ายยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึกก่อนนำไปขายต่อให้กับบุคคลภายนอก
โดยเป้าหมายสำคัญจุดแรก อยู่ที่บ้านพักของ พันเอกหญิง กัญญารัตน์ จิตต์ประสงค์ ข้าราชการบำนาญ ในย่านเกียกกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ข้อหา เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ม.157 ,เป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ ,เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร อันเป็นเท็จ,เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
หลังพบพยานหลักฐานว่าพันเอกหญิง กัญญารัตน์ นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการทุจริตดังกล่าว เนื่องจากเป็นหัวหน้าขบวนการ ทำหน้าที่ จัดหาเครือข่ายบุคคลจากจังหวัดลพบุรี เข้ามารับยาจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และนำยาทั้งหมดที่ได้ให้กับแม่ทีมเครือข่ายเพื่อแลกกับค่าจ้างร้อยละ 10 ของค่ายา ซึ่งแม่ทีมเครือข่ายจะได้ค่าจ้างรายหัวอีกรายละ 1,500 บาท
นอกจากนี้ยังอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญอีกหนึ่งจุด คือ บ้านพักของแพทย์หญิงบรินดา อุจวาที ผู้ชำนาญการ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ย่านลาดพร้าว 71 โดยตัวของ แพทย์หญิงบรินดา เองก็ถือเป็นอีกหนึ่งผู้ต้องหาคนสำคัญของขบวนการ เนื่องจากเป็นคนทำหน้าที่สั่งจ่ายยา โดยการวินิจฉัยโรคให้เกินจากโรคที่เป็นอยู่จริงให้กับผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ป่วยที่เข้ามารับยาในขบวนการนี้
สำหรับที่ไปที่มาของปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้พลเอกเดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การทหารผ่านศึก ได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ให้ดำเนินการคดีกับขบวนการทุจริตยาของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกเพื่อนำไปขายต่อให้กับบุคคลภายนอก หลังพบว่ามีการทุจริตมาตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน
โดยร่วมกันทำเป็นขบวนการ มีพันเอกหญิง กัญญารัตน์ เป็นหัวหน้าขบวนการ วางแผนตระเตรียมให้แม่ขายจัดหาบุคคลมาพบแพทย์ ทำทีตรวจรักษากับแพทย์หญิงบรินดา เพื่อที่แพทย์หญิงบรินดา จะได้สั่งจ่ายยาให้กับผู้นั้น และ สั่งจ่ายยาที่เกินจากโรคที่เป็นอยู่จริง ก่อนจะรวบรวมยาทั้งหมดแล้วนำไปขายตามคลีนิค หรือ ร้านยาต่างๆ แล้ว นำเงินที่ได้มาแบ่งกัน
ทั้งนี้จากการจรวจสอบเส้นทางการเงินของ พันเอกหญิง กัญญารัตน์ พบในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 2561-2568 มีเงินถูกโอนเข้าบัญชีรวมกว่า 40 ล้านบาท ขณะที่ความเสียหายจากการทุจริตดังกล่าวขณะนี้มีการประเมินความเสียหายไว้อยู่ที่ 80 ล้านบาท โดยประมาณ
อย่างไรก็ตาม จากปฏิบัติการดังกล่าว เบื้องต้นขณะนี้มีรายงานข่าวแจ้งว่า ทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัว พันเอกหญิงกัญญารัตน์ แพทย์หญิงบรินดา สองผู้ต้องคนสำคัญของขบวนการได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างคุมตัวไปสอบปากคำยัง บก.ปปป.
คลิปประกอบข่าว :
@ ป.ป.ช.เผยเบื้องหลังทลายขบวนการทุจริตยา
ขณะที่ สำนักงาน ป.ป.ช. เผยแพร่ข่าวว่า วันที่ 26 มีนาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ภายใต้การอำนวยการของ นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้ นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ พร้อมด้วย นายธนิต สุวรรณากาศ นักสืบสวนคดีทุจริตชำนาญการพิเศษ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการกลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 1 เจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ และนักสืบสวนคดีทุจริตภาค 1 และภาค 2 ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปปป. และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันดำเนินปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการทุจริตการเบิกจ่ายยาของโรงพยาบาลองค์การทหารผ่านศึก จับกุมแพทย์หญิง หรือ น.ส. “บ” กับพวก 8 คน กรณีมีขบวนการทุจริตยาของโรงพยาบาล เพื่อนำไปขายต่อให้กับบุคคลภายนอก ระหว่าง ปี พ.ศ. 2561 ถึงปี พ.ศ.2568 โดยมีพฤติการณ์กระทำความผิด คือ ร่วมกันกระทำในลักษณะของการวางแผนตระเตรียมการ ให้มีการจัดหาบุคคลที่มีอาการเจ็บป่วยจำเป็นต้องพบแพทย์ มาทำที่เป็นตรวจรักษากับแพทย์หญิง หรือ น.ส.”บ” เพื่อจะได้สั่งจ่ายยาให้กับผู้นั้น และสั่งจ่ายยาที่เกินจากโรคที่เป็นอยู่จริง โดย พันเอกหญิง หรือ น.ส. “ก” ทำหน้าที่จัดหาคนมารักษา แล้วนำยาดังกล่าวทั้งหมดไปขายตามคลินิกเพื่อนำเงินที่ได้มาแบ่งให้กับผู้ร่วมขบวนการในการทุจริตยาของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 80 ล้านบาท
การปฏิบัติการครั้งนี้ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ พล.อ.เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การทหารผ่านศึก ได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ให้ดำเนินการคดีกับขบวนการทุจริตยาของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพื่อนำไปขายต่อให้กับบุคคลภายนอก หลังพบว่ามีการทุจริตมาตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันโดยร่วมกันทำเป็นขบวนการมี พ.อ.หญิง กัญญารัตน์ เป็นหัวหน้าขบวนการ วางแผนตระเตรียมให้แม่ข่ายจัดหาบุคคลมาพบแพทย์ ทำทีตรวจรักษากับแพทย์หญิงบรินดา เพื่อที่แพทย์หญิงบรินดา จะได้สั่งจ่ายยาให้กับผู้นั้น และสั่งจ่ายยาที่เกินจากโรคที่เป็นอยู่จริง ก่อนจะรวบรวมยาทั้งหมดแล้วนำไปขายให้เอเย่นต์ที่จังหวัดปราจีนบุรี จากนั้นมีการขายยาต่อมายังเอเย่นต์ที่ย่านพระราม 4 จากนั้นนำยาไปขายต่อให้ร้านยาในกรุงเทพหลายร้านและชลบุรี จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของ พ.อ.หญิง กัญญารัตน์ พบในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ ปี 2561-2568 มีเงินถูกโอนเข้าบัญชีรวมกว่า 40 ล้านบาท ขณะที่ความเสียหายจาก การทุจริตดังกล่าวขณะนี้ มีการประเมินมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 80 ล้านบาท
ซึ่งการดำเนินการนี้ ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ประกอบด้วย พ.อ.หญิง กัญญารัตน์ฯ พญ.บรินดาฯ นายสมพงษ์ และ น.ส.สุรีย์ ส.อ.สมปราช และ ร.ต.ภาวนา จ.ส.อ.ทินกร และ นางอภิญญา และได้ลงพื้นที่ปฏิบัติการตรวจค้นร้านขายยาต้องสงสัยในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ชลบุรี แจ้งวัฒนะ ศิริราช ประตูน้ำ นนทบุรี และรังสิต
หลังพบพยานหลักฐานว่า พ.อ.หญิง กัญญารัตน์ นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการทุจริตดังกล่าว เนื่องจากเป็นหัวหน้าขบวนการทำหน้าที่จัดหาเครือข่ายบุคคลจากจังหวัดลพบุรี เข้ามารับยาจากโรงพยาบาลทหารผ่านศึกและนำยาทั้งหมดที่ได้ให้กับแม่ทีมเครือข่ายเพื่อแลกกับค่าจ้างร้อยละ 10 ของค่ายา ซึ่งแม่ทีมเครือข่ายจะได้ค่าจ้างรายหัวอีกรายละ 1,500 บาท นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญอีกหนึ่งจุด คือ บ้านพักของแพทย์หญิงบรินดาฯ ผู้ชำนาญการ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก โดยตัวของแพทย์หญิงบรินดาเองก็ถือเป็นอีกหนึ่งผู้ต้องหาคนสำคัญของขบวนการ เนื่องจากเป็นคนทำหน้าที่สั่งจ่ายยา โดยการวินิจฉัยโรคให้เกินจากโรคที่เป็นอยู่จริงให้กับผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ป่วยที่เข้ามารับยาในขบวนการนี้
ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือสำคัญระหว่างหน่วยงานภาครัฐในการขจัดขบวนการทุจริตที่ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณอย่างมหาศาล ซึ่งคาดการณ์ว่ามูลค่าความเสียหายมากกว่า 80 ล้านบาท พร้อมทั้งสร้างความโปร่งใสในระบบสาธารณสุขและการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการ