ป.ป.ช.ภาค 9 แถลงมติคณะกรรมการชุดใหญ่ ชี้มูลความผิด 'ยุทธพงศ์ มุณีสิทธิ์' อดีตรองนายก อบจ.สงขลา-พวก จัดทำสมุดบันทึกคัดกรองโรคขั้นพื้นฐานสำหรับครัวเรือนราคาสูงเกินสมควรเป็นไปโดยมิชอบ ส่งเรื่องอสส.ฟ้องร้องตามขั้นตอนทางกม. แจ้งชดใช้ค่าเสียหายด้วย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2567 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาค 9 ได้เผยแพร่ข่าวมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดกรณีกล่าวหา นายยุทธพงศ์ มุณีสิทธิ์ เมื่อครั้งตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา กับพวกรวม 13 ราย จัดทำสมุดบันทึกการคัดกรองโรคขั้นพื้นฐานสำหรับครัวเรือนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ปีงบประมาณ 2556 ตามสัญญาจ้างเลขที่ 165/2556 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2556 โดยมีราคาสูงเกินสมควรเป็นไปโดยมิชอบ
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่า การกระทำของนายยุทธพงศ์ มุณีสิทธิ์ มีมูลความผิดทางอาญา พร้อมพวกหลายราย ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป แจ้งชดใช้ค่าเสียหายด้วย
สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 9 ระบุ พฤติการณ์ในการกระทำความผิดว่า เมื่อปีงบประมาณ 2556 องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ได้มีการจัดทำโครงการส่งเสริมการคัดกรองโรคขั้นพื้นฐานสำหรับครัวเรือน งบประมาณจำนวน 36,000,000 บาท โดยดำเนินการจัดจ้างจัดทำสมุดบันทึกการคัดกรองโรคขั้นพื้นฐานสำหรับครัวเรือน ในพื้นที่จังหวัดสงขลา 16 อำเภอ จำนวน 450,000 เล่ม โดยปรากฏว่าในขั้นตอนการกำหนดรายละเอียดและประมาณการราคาของโครงการดังกล่าว คณะกรรมการกำหนดรายละเอียดและประมาณการราคา ได้ร่วมกันกำหนดราคาสมุดบันทึกฯ โดยใช้ข้อมูลของห้างหุ้นส่วนจำกัด ปานปั้น พาณิชย์ เซ็นเตอร์ ซึ่งไม่มีลักษณะของห้างร้านที่รับจ้างจัดทำสมุดบันทึกฯ และไม่ได้ประกอบกิจการโรงพิมพ์หรือประกอบอาชีพเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ และกำหนดประมาณราคาให้สูงกว่าราคาที่ควรจะเป็น เป็นเงิน 19,993,500 บาท เป็นผลให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาต้องจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ปานปั้น พาณิชย์ เซ็นเตอร์ สูงกว่าราคาที่ควรจะเป็นทำให้ทางราชการเสียหายเป็นเงิน 19,903,500 บาท
ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนแสดงให้เห็นว่า เมื่อปีงบประมาณ 2556 องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา โดยนายยุทธพงศ์ มุณีสิทธิ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ได้อนุมัติให้จัดทำโครงการส่งเสริมการคัดกรองโรคขั้นพื้นฐานครัวเรือน โดยจัดทำสมุดบันทึกคัดกรองโรคขั้นพื้นฐานสำหรับครัวเรือน จำนวน 450,000 เล่ม งบประมาณ จำนวน 36,000,000 บาท ปรากฏว่าคณะกรรมการกำหนดรายละเอียดและประมาณการราคา (ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 3 – 10) ร่วมกันสืบราคาโดยนำข้อมูลของห้างหุ้นส่วนจำกัด ปานปั้น พาณิชย์ เซ็นเตอร์ เสนอราคา เล่มละ 80 บาท ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ไปเทียบเคียงกับราคาของผู้มีอาชีพรับจ้างในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร ทั้งที่ทราบดีอยู่แล้วว่าการเสนอราคาของผู้มีอาชีพรับจ้างในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร จะต้องมีการรวมค่าขนส่งและค่าดำเนินการอื่น ๆ ซึ่งทำให้มีราคาสูงกว่าราคาของห้างหุ้นส่วนจำกัด ปานปั้น พาณิชย์ เซ็นเตอร์ โดยปรากฏหลักฐานสำคัญจากการสืบราคาในการจัดพิมพ์สมุดฯ ซึ่งรวมค่าภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว โดยมีการกำหนดรูปแบบรายละเอียดในการจัดพิมพ์สมุดฯ แบบเดียวกัน และช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับโครงการดังกล่าว จากผู้ประกอบกิจการโรงพิมพ์หรือประกอบอาชีพเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ในจังหวัดสงขลา จำนวน 3 ร้าน เสนอราคาเฉลี่ย ราคา 36.56 บาท ทั้งนี้ หากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาจัดจ้างในราคาเฉลี่ยเล่มละ 36.56 บาท จะใช้เงินในการจัดจ้าง 16,452,000 บาท และประหยัดงบประมาณไปได้ 19,458,000 บาท
ดังนั้น การที่คณะกรรมการกำหนดรายละเอียดและประมาณการราคาไม่ได้สืบราคาจากโรงพิมพ์ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ทำให้การจัดทำราคากลางไม่สอดคล้องใกล้เคียงกับราคาตลาด ส่งผลให้จัดจ้างในราคาสูงเกินสมควร ซึ่งทำให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาและทางราชการได้รับความเสียหาย
พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อได้ความว่าการสืบราคาของคณะกรรมการกำหนดรายละเอียดและประมาณการราคา ไม่ชอบด้วยระเบียบหลักเกณฑ์ของทางราชการ เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาต้องจ้างแพงกว่าความเป็นจริง ส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตของคณะกรรมการฯ แม้ไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการฯ กระทำการโดยทุจริต แต่การกระทำของคณะการการฯ บ่งชี้ว่ามีเจตนากระทำโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา อันมีมูลเป็นความผิดทางอาญา
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาในการประชุม ครั้งที่ 45/2567 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567 วาระที่ 3.4 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง ในกรณีกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหาแต่ละราย ดังนี้
1. การกระทำของนายยุทธพงศ์ มุณีสิทธิ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิด ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 77
2. การกระทำของนายอัฐชัย พรหมมณี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 นางปิยะพร โยธี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 และนางภคพร บุญมา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามประกาศคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2544 ข้อ 3 วรรคสาม และข้อ 6 วรรคสอง
3. การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 จากการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำการอันมีมูลความผิดอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาในทางอาญาไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่มีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรงตามประกาศคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2544 ข้อ 6 วรรคหนึ่ง
ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 - 13 จากการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายยุทธพงศ์ มุณีสิทธิ์นายอัฐชัย พรหมมณี นางปิยะพร โยธี และนางภคพร บุญมา และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐานและคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับนายยุทธพงศ์ มุณีสิทธิ์ นายอัฐชัย พรหมมณีนางปิยะพร โยธี นางภคพร บุญมา และผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 ตามฐานความผิดดังกล่าว ให้แจ้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุดผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด