เปิดครบ 6 ข้อหาหนัก ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลาง อนุมัติหมายจับ 'ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร' พวกรวม 4 ราย กรณีการหายตัวไป 'พอละจี' หรือ บิลลี่ รักจงเจริญ -ดีเอสไอ เตรียมประสานขอความร่วมมือสำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศสืบ-จับกุมแล้ว
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า สืบเนื่องจากปรากฎข่าวในช่วงบ่ายวันที่ 11 พ.ย.2562 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อนุมัติหมายจับ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวก รวม 4 ราย ในหลายข้อหา ล่าสุดมีรายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เกี่ยวกับการขออนุมัติหมายจับครั้งนี้ ว่าเป็นผลมาจาก ดีเอสไอ รับคดีการหายตัวไปของนายพอละจี หรือ บิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำประชาชนชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย เป็นคดีพิเศษ ที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 เป็นคดีพิเศษที่ 13/2562 ซึ่งมีการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน จนกระทั่งพบชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะและถังน้ำมันรวมทั้ง มีพยานบุคคลและพยานเอกสารเกี่ยวกับคดีเพิ่มเติมเป็นลำดับตามที่ปรากฏเป็นข่าวมาแล้ว และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ความสำคัญ รวมถึงมอบนโยบายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีด้วยความรอบคอบและรวดเร็ว นั้น
ในวันที่ 11 พ.ย.2562 ดีเอสไอ ได้มีการประชุมคณะพนักงานสอบสวน คดีดังกล่าว โดยมี พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาพยานหลักฐานรวมทั้งผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ประชุมเห็นว่ามีพยานหลักฐานพอขออนุมัติต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติชอบกลาง ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว เป็นผู้ยื่นคำร้องและแถลงข้อเท็จจริงต่อศาล
ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อนุมัติได้ออกหมายจับ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวก ประกอบด้วย นายบุญแทน บุษราคำ, นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ รวม 4 คน ในความผิดฐาน
(1) ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
(2) ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นและได้กระทำโดยมีอาวุธ
(3) ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
(4) ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น และมีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ
(5) ร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป
(6) ร่วมกันโดยทุจริตเพื่ออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 289 (4) (7), 309, 310, 337, 340, 340 ตรี ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ รวมทั้งความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 148, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 123/1 และมาตรา 172 อันเป็นความผิดที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้ไต่สวนพบมูลความผิดแล้วด้วย
ขณะที่ พ.ต.อ. ไพสิฐ กล่าวว่า หลังจากนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการประกาศสืบจับ ตามระเบียบกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับหมายจับในคดีพิเศษ พ.ศ. 2562 โดยขอความร่วมมือสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการประกาศสืบจับและจับกุม และในส่วนของกรมสอบสวนคดีพิเศษเอง ก็มีศูนย์สืบสวนสะกดรอย เป็นผู้สืบสวนติดตามจับกุมตัวตามหมายจับในคดีพิเศษด้วย ซึ่งหลังจากนี้จะเป็นการติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับต่อไป
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/
หมายเหตุ : ภาพจากไทยรัฐออนไลน์