
คดีตัวอย่าง! คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ‘ สมชาย ภิญโญ’ ผู้สมัคร สส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย ปราศัยหาเสียง สัญญาจะพา กลุ่มอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน ‘ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง’ “เว้าแฮงบ่ได้ เดี๋ยวจิอัดวิดีโอ” ชี้ทุจริต เจตนาจูงใจคนลงคะแนน
คดีตัวอย่าง กรณีผู้สมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ปราศรัย กระทำผิดกฎหมาย โดยสัญญว่าจะให้จูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนน รายนี้เป็นคดี นายสมชาย ภิญโญ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. เขต 6 จ.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย เมื่อปี 2566 นายสมชายไปหาเสียงต่ออาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา ด้วยถ้อยคําว่า “เดี๋ยวผมได้เป็น สส. มีงบไปเบิ่งงาน จะพา อสม. ไปล่องแพกาญ” และ “เว้าแฮงบ่ได้ เดี๋ยวจิอัดวิดีโอ”
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากระทําการอันเป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) โดยสัญญาว่าจะให้หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านและประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง เป็นการกระทําเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยวิธีการอันมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านเป็นเวลา 10 ปี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำคำพิพากษามารายงานอย่างละเอียด
@เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม
คดีหมายเลขดําที่ ลต สส. 1/2567 คดีหมายเลขแดงที่ ลต สส. 336/2567ศาลฎีกา วันที่ 5 เดือน สิงหาคม พุทธศักราช 2567 ความคดีเลือกตั้ง ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง นายสมชาย ภิญโญ ผู้คัดค้าน เรื่อง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้ง)
ผู้ร้องยื่นคําร้องว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 21 มีนาคม 2566เรื่อง กําหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อและสถานที่ที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ กําหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566
ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 6 จังหวัดนครราชสีมา หมายเลข 2 พรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ต่อมาผู้ร้องได้รับคําร้องว่า ผู้คัดค้านกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1)
@เหตุเกิดที่บ้านหนองตาด
ผู้ร้องไต่สวนแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 เวลากลางวัน ผู้คัดค้านได้จัดเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งที่ศาลาประชาคม บ้านหนองตาด หมู่ที่ 2 ตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งผู้คัดค้านได้ปราศรัย หาเสียงเลือกตั้งด้วยถ้อยคําว่า “เดี๋ยวผมได้เป็น สส. มีงบไปเบิ่งงาน จะพา อสม. ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง” ตามคลิปบันทึกเสียงประกอบคําร้อง ซึ่งถ้อยคําดังกล่าวมีความหมายทํานองว่า เมื่อผู้คัดค้านได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีงบประมาณศึกษาดูงาน จะพาอาสาสมัครสาธารณสุข ประจําหมู่บ้านไปล่องแพและร้องเพลงที่จังหวัดกาญจนบุรี และถ้อยคําว่า “เว้าแฮงบ่ได้ เดี๋ยวจิอัด วิดีโอ” ซึ่งมีความหมายทํานองว่า พูดเสียงดังไม่ได้ เดี๋ยวจะอัดวิดีโอ ต่อจากคําว่า “เดี๋ยวผมได้เป็น สส. มีงบไปเบิ่งงาน จะพา อสม. ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ไม่สุจริตของผู้คัดค้านในการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าว การกระทําดังกล่าวของผู้คัดค้านจึงเป็นการสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านและประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นการทุจริต" อันเป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 6 จังหวัดนครราชสีมา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คัดค้าน มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ผู้ร้องจึงมีมติให้ยื่นคําร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณา ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสมชาย ภิญโญ ผู้คัดค้าน เป็นเวลาสิบปี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 226 ประกอบ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 138 วรรคหนึ่ง
@อ้างพูดเพื่อสร้างบรรยากาศให้เกิดความสนิทสนม
ผู้คัดค้านยื่นคําคัดค้านว่า ผู้คัดค้านไม่เคยสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้าน โดยบริบทค่าพูดของผู้คัดค้านทั้งหมดตามคําถอดเทปบันทึกเสียงวันที่ 7 เมษายน 2566 ณ ศาลาประชาคม บ้านหนองตาด หมู่ที่ 2 ตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา นั้น ผู้คัดค้านมีเจตนา เพียงสื่อความให้กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา ที่มาฟังการปราศรัยเข้าใจว่า ผู้คัดค้านมีความสนิทสนมกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและพร้อมที่จะดูแลความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยขณะนั้น มีนางพัชราวรรณ นรากิจพงศ์ สมาชิกสภาจังหวัดนครราชสีมา น้องสาวของผู้คัดค้านร่วมอยู่ด้วย ผู้คัดค้านจึงพูดขึ้นว่า “ผมเกิดอยู่ตําบลแก้งสนามนาง อําเภอบัวใหญ่ ถือว่าผมเป็นลูกหลานนะครับ แท้ ๆ บ้านผมกะอยู่แก้งสนามนางนะครับ ผมมีพี่น้องอยู่นี่คือ เจ๊จู นะครับ เจ๊จู รองนายกเทศมนตรีเทศบาลสีดา มีพี่น้องอยู่ทางบ้านแฝก คือ อาพวน นั่น เพิ่นมาแล้ว อาพวนมานะครับ เชิญครับนี่นี่พี่น้องแท้ ๆ มาลงกะพี่น้องนะครับ แล้วก็มีน้องสาวคนนึงนะครับ นี่น้องสาวเป็น สจ. อําเภอ แก้งสนามนาง สจ.ปอ หน้าตาดีเบิดบ้านแม่นบ่ครับแม่นบ่ เพิ่นร้องเพลงเก่ง ๆ เด่ะ” ซึ่งเป็นการพูด เพื่อสร้างบรรยากาศให้เกิดความสนิทสนม และอุปนิสัยส่วนตัวของนางพัชราวรรณ (สจ.ปอ) ที่หลายคนที่ร่วมพูดคุยทราบดีว่า เป็นคนมีอุปนิสัยร่าเริงเป็นกันเองและมักจะแสดงความสามารถพิเศษร้องเพลงในงานกิจกรรมต่าง ๆ ที่ชุมชนหรือหน่วยงานจัดขึ้น และในทันทีต่อเนื่องกันผู้คัดค้านจึงพูดว่า
“เดี๋ยวผมได้เป็น สส. มีงบไปเบิ่งงาน จะพา อสม. ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง เว้าแฮงได้ เดี๋ยวเพิ่นสิอัดวิดีโอ (หัวเราะ) อันนี้นะครับ เดี๋ยวเพิ่นสิ พาพี่น้องไปร้องเพลงหมอลําเด่ะ ซอยกันตั๋ว มั้นชนะมาเบิดแล้ว มันสิแพ้อยู่หนองตาดนี้เด่ะถึงเข้ามานี่หน่ะ”
เห็นได้ว่าเป็นคําพูดที่มีเจตนาเพียงเพื่อ แนะนําตัวนางพัชราวรรณต่อกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านเท่านั้น และจากเสียงหัวเราะของ ผู้คัดค้านในทันทีทําให้เห็นเจตนาของผู้คัดค้านได้ว่าเป็นคําพูดที่ไม่มีเจตนาพูดโดยแน่นแฟ้น โดยแน่นอน ย้ำหรือแจ้งความจำนงโดยไม่เปลี่ยนแปลงอันจะหรือแจ้งความจํานงโดยไม่เปลี่ยนแปลงอันจะเป็นการให้คํามั่นสัญญา ไม่ใช่คําพูดเพื่อให้สัญญา หรือยืนยันว่าผู้คัดค้านตกลงให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้าน แต่มีเจตนาสร้างบรรยากาศให้เกิดความสนิทสนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการพูดคุยกันกับกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านพร้อมไปกับการแนะนําตัวนางพัชราวรรณน้องสาวของผู้คัดค้านที่มีความสามารถพิเศษด้านการร้องเพลงและการเข้าถึงพี่น้อง ประชาชน จํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา 3,947 คน แต่ผู้คัดค้านได้รับเพียง 236 คะแนน ขอให้ยกคําร้อง
@ คนฟังชงอัดคลิป ส่ง กกต.
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งไต่สวนและตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริง เบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 21 มีนาคม 2566 เรื่อง กําหนด วันเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและสถานที่ที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ กําหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่14 พฤษภาคม 2566 ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 6 จังหวัดนครราชสีมา หมายเลข 2 พรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 เวลากลางวัน ผู้คัดค้านได้จัดเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งที่ศาลาประชาคม บ้านหนองตาด หมู่ที่ 2 ตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา โดยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งและกลุ่ม อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านในพื้นที่ตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา ประมาณ 100 คน มาร่วมฟังการปราศรัย ซึ่งผู้คัดค้านได้ปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งด้วยถ้อยคําว่า “เดี๋ยวผมได้เป็น สส. มีงบไปเบิ่งงาน จะพา อสม. ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง” และถ้อยคําว่า “เว้าแฮงบ่ได้ เดี๋ยวจิอัดวิดีโอ” ตามคลิปบันทึกเสียงหมาย วร.1 โดยนางณิชา วงศ์ธรรม อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่ที่ 3 บ้านหนองจะบก ตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา ผู้เข้าฟังการปราศรัยหาเสียงเป็นผู้บันทึกเสียงดังกล่าวไว้ และส่งคลิปบันทึกเสียงให้นายพงษ์ศักดิ์ ศรชัยวุฒิไกร ทางแอปพลิเคชันไลน์ นายพงษ์ศักดิ์ยื่นคําร้องต่อผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดนครราชสีมากล่าวหาว่า ผู้คัดค้านกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) (2) ผู้ร้องไต่สวนแล้วเห็นว่า ถ้อยคําของผู้คัดค้านดังกล่าวมีความหมายทํานองว่า เมื่อผู้คัดค้านได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีงบประมาณศึกษาดูงาน จะพาอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านไปล่องแพและร้องเพลงที่จังหวัดกาญจนบุรี และถ้อยคําซึ่งมีความหมายทํานองว่า พูดเสียงดังไม่ได้ เดี๋ยวจะมีการอัดวิดีโอ แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ไม่สุจริตของผู้คัดค้านในการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง การกระทําดังกล่าวของผู้คัดค้านจึงเป็นการสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านและประชาชน ในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นการทุจริต การเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 6 จังหวัดนครราชสีมา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้คัดค้าน มิได้เป็นไป โดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม และผู้ร้องยื่นคําร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านเป็นเวลาสิบปี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา 226 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2561 มาตรา 138 วรรคหนึ่ง
@ขนพยานเบิกความช่วย แค่พูดหยอกล้อ ไม่มีเจตนา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) หรือไม่
ทางไต่สวนผู้ร้องมีนางณิชา วงศ์ธรรม เบิกความว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 ช่วงเช้าก่อนที่จะไปร่วมฟังการปราศรัยของผู้คัดค้านที่ศาลาประชาคม นายพงษ์ศักดิ์ ศรชัยวุฒิไกร โทรศัพท์ไปหาพยานเพื่อขอให้บันทึกเสียงการปราศรัย ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 10 นาฬิกา พยานเดินทางไปยังสถานที่จัดปราศรัยและใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่บันทึกเสียงการปราศรัย ใช้เวลาประมาณ 40 นาฬิกา ตามหมาย วร.1ต่อมาเมื่อพยานเดินทางกลับบ้าน นายพงษ์ศักดิ์โทรศัพท์มาหาขอให้ส่งคลิปบันทึกเสียงให้ พยานจึงส่งให้ทางแอปพลิเคชันไลน์
ผู้ร้องยังมีนายพงษ์ศักดิ์ ศรชัยวุฒิไกร เบิกความว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 พยานได้รับคลิปบันทึกเสียงการปราศรัยของผู้คัดค้านจากนางณิชาผู้เข้าร่วมฟังการปราศรัยของผู้คัดค้านที่ศาลาประชาคม โดยผู้คัดค้านปราศรัยด้วยถ้อยคําว่า “เดี๋ยวผมได้เป็น สส. มีงบไปเบิ่งงาน จะพา อสม. ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง” มีนางผัด พลรักษา กับนางรัตนา พลดงนอก เบิกความในทํานอง เดียวกันว่า พยานทั้งสองได้ยินผู้คัดค้านปราศรัยด้วยถ้อยคําว่า “เดี๋ยวผมได้เป็น สส. มีงบไปเบิ่งงาน จะพา อสม. ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง” และมีนางโชติกา วัชรรินทร์รัตน์ เบิกความว่า พยานได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการสืบสวนและไต่สวน ประจําจังหวัดนครราชสีมา คณะที่ 3 พยานและ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนทําการสืบสวนและไต่สวนแล้วเห็นว่าการกระทําดังกล่าวของผู้คัดค้าน
มีลักษณะเป็นการกระทําเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ด้วยวิธีการเสนอให้
สัญญาว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด อันเป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ส่วนผู้คัดค้านมีตัวผู้คัดค้านเบิกความโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 ผู้คัดค้านเดินทางไปถึงสถานที่ปราศรัยเวลาประมาณ 11 นาฬิกา เมื่อไปถึงพบนายจํารัส พลรักษา อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตําบลหนองตาดใหญ่ กําลังกล่าวกับผู้มาฟังปราศรัย เมื่อนายจํารัสพูดจบ นายเสถียร อุ้ยเลิศ เชิญให้ผู้คัดค้านปราศรัย ผู้คัดค้านปราศรัยเกี่ยวกับนโยบายของพรรคตามปกติ และช่วงหนึ่งของการปราศรัยได้พูดหยอกเล่นเพื่อสร้างความเป็นกันเองกับผู้มาฟังการปราศรัยและเพื่อให้เกิดบรรยากาศสนุกสนานไม่น่าเบื่อ ขณะนั้นนางพัชราวรรณ นรากิจพงศ์ สมาชิกสภาจังหวัดนครราชสีมา น้องสาวของผู้คัดค้านเดินทางมาถึงและมาด้านหน้าตรงที่ผู้คัดค้าน
กําลังยืนปราศรัยอยู่ ผู้คัดค้านจึงกล่าวแนะนําตัวนางพัชราวรรณว่า เป็นคนหน้าตาดี ร้องเพลงเก่ง ทุกคนที่มาฟังก็หัวเราะ ผู้คัดค้านจึงพูดหยอกเล่นตามคลิปบันทึกเสียง แล้วผู้คัดค้านและผู้มาฟัง ปราศรัยก็หัวเราะด้วยกันทั้งหมด โดยคําพูดมีความหมายเพียงเพื่อแนะนําตัวนางพัชราวรรณ เนื่องจากเวลานางพัชราวรรณไปออกงานหรือถูกเชิญให้ไปร่วมงานมักจะถูกเชิญให้ไปร้องเพลงบนเวทีเสมอ เพราะมีความถนัดในเรื่องร้องเพลง จึงได้กล่าวไปในทํานองนั้น ทําให้บรรยากาศมีความสนุกสนานเป็นกันเองมากขึ้น และผู้คัดค้านไม่ได้กล่าวถ้อยคําดังกล่าวอีกจนจบการปราศรัย ผู้ที่มาปราศรัยต่อก็ไม่ได้หยิบยกถ้อยคําใดมาพูดเพื่อจูงใจและผู้คัดค้านไม่ได้ย้อนกลับมาพูดเรื่อง ที่ถูกกล่าวหาอีกเพราะไม่ได้มีเจตนาจะใช้เป็นถ้อยคําจูงใจให้ผู้ที่มาฟังการปราศรัยเลือกผู้คัดค้าน แต่อย่างใด นอกจากนี้การปราศรัยในครั้งอื่น ๆ ผู้คัดค้านไม่เคยพูดเช่นเดียวกันนี้อีก จากจํานวนผู้มีสิทธิ
เลือกตั้งในตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา 3,947 คน ผู้คัดค้านได้รับคะแนนเสียงเพียง 236 คะแนน ผู้คัดค้านไม่มีเจตนากระทําผิดกฎหมายเลือกตั้ง เป็นเพียงคําพูดหยอกล้อ เพื่อแนะนําตัวน้องสาวผู้คัดค้านซึ่งชอบร้องเพลงเท่านั้น ผู้คัดค้านยังมีนายเสถียร อุ้ยเลิศ เบิกความว่า เป็นพิธีกรในเวทีหาเสียงของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านกล่าวถ้อยคําดังกล่าวขึ้นเพื่อหยอกล้อสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองเนื่องจากน้องสาวของผู้คัดค้านเดินทางมาถึง ไม่ได้พูดเน้นย้ํา และผู้คัดค้านไม่เคยพูดเรื่อง ดังกล่าวที่เวทีใดอีก และมีนายจํารัส พลรักษา เบิกความว่า เมื่อน้องสาวของผู้คัดค้านเดินทางเข้ามาด้านหน้าตรงที่ผู้คัดค้านกําลังยืนปราศรัยอยู่ ผู้คัดค้านแนะนําน้องสาวซึ่งมีความถนัดเรื่องร้องเพลง ร้องเพลงเก่ง โดยกล่าวถ้อยคําดังกล่าวขึ้น พยานเห็นสีหน้าผู้คัดค้านแล้วพยานหัวเราะ โดยนางผัด นางณิชา และนางรัตนาก็หัวเราะด้วยเพราะเข้าใจว่าเป็นการพูดหยอกเล่นเท่านั้น การปราศรัย หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าวอีก ทั้งในวันที่ 23 เมษายน 2566 ผู้คัดค้านได้มากล่าว ปราศรัยที่ตําบลหนองตาดใหญ่อีกครั้ง แต่ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีกแต่อย่างใด นอกจากนี้มีนายสมพาน พลดงนอก เบิกความว่า การปราศรัยหาเสียงของผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2566 ผู้คัดค้าน ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการศึกษาดูงาน
@ ศาลพิจารณาจากถ้อยคำ/กลุ่มเป้าหมายที่รับฟังคำปราศรัย ชี้เจตนาจูงใจ
เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือ ผู้ใดกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ (1) จัดทํา ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด....” การพิจารณาว่าคําปราศรัยของผู้คัดค้าน
มีความมุ่งหมายเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ด้วยการเสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดอันจะเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากถ้อยคําที่กล่าวรวมถึงต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นการกล่าวกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มใด ซึ่งตามคําปราศรัยของผู้คัดค้าน ที่ว่า “เดี๋ยวผมได้เป็น สส. มีงบไปเบิ่งงาน จะพา อสม. ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง” นั้น ย่อมทําให้ผู้ฟังซึ่งเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านเข้าใจได้ว่า เป็นการให้คํามั่นสัญญาว่า เมื่อผู้คัดค้านได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จะพาพวกตนไปล่องแพและร้องเพลงที่จังหวัดกาญจนบุรี ทั้งเมื่อพิจารณาจากอายุของพยานผู้ร้องปากนางณิชา ปากนางผัด และปากนางรัตนา ซึ่งล้วนเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านและเป็นกลุ่มเป้าหมายตามคํากล่าวปราศรัยแล้ว
ก็จะเห็นได้ว่าอยู่ในวิสัยที่สามารถไปเที่ยวและทํากิจกรรมตามที่ผู้คัดค้านกล่าวได้ จึงยิ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้คัดค้านกล่าวปราศรัยถ้อยคําดังกล่าวโดยมีเจตนาเพื่อจูงใจให้ผู้ฟังซึ่งเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน
@เคยลงสมัครมาครั้งหนึ่งแล้ว ย่อมต้องรู้ดี ถ้อยคำใดใช้ได้-ไม่ได้
ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่า ผู้คัดค้านกล่าว ถ้อยคําดังกล่าวเพื่อสร้างบรรยากาศให้เกิดความสนิทสนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการพูดคุยกันกับผู้มารับฟังการปราศรัยหาเสียงพร้อมกับแนะนําตัวนางพัชราวรรณน้องสาวของผู้คัดค้านที่มีความสามารถพิเศษด้านการร้องเพลงนั้น
เห็นว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และในวันเกิดเหตุผู้คัดค้านได้จัดเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง และมีการกล่าวปราศรัยต่อหน้าบุคคล จํานวนมาก และมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน คือ กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านและประชาชนในพื้นที่ตําบลหนองตาดใหญ่ อําเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ผู้คัดค้านในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งย่อมต้องตระหนักว่าถ้อยคําใดสามารถกล่าวได้และถ้อยคําใด ไม่สามารถกล่าวได้ในการหาเสียง หากจะเป็นการพูดหยอกเล่นแล้ว ก็ไม่น่าจะใช้ถ้อยคําที่มีความหมาย ส่อไปในทางต้องห้ามตามกฎหมาย ทั้งตามข้อเท็จจริงในสํานวนก็ได้ความว่า ผู้คัดค้านเคยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2562 อีกทั้งยังได้ความตามบันทึกถ้อยคําผู้ถูกร้องเอกสารหมาย ร.ค.1 หน้าที่ 74 ว่า ผู้คัดค้านจบการศึกษาระดับปริญญาโท ประกอบอาชีพนักการเมือง แสดงให้เห็นว่าผู้คัดค้านมิได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกหรือเป็นผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจในการหาเสียงเลือกตั้งที่จะอ้างได้ว่าตนไม่ทราบว่าถ้อยคําใดที่มีลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง
@ ถ้อยคำ “เว้าแฮงบ่ได้ เดี๋ยวอัดวิดีโอ” บ่งชี้เจตนา
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากถ้อยคําของผู้คัดค้านที่กล่าวว่า “เว้าแฮงบ่ได้ เดี๋ยวอัดวิดีโอ” ซึ่งมีความหมายทํานองว่า พูดเสียงดังไม่ได้ เดี๋ยวจะอัดวิดีโอ ต่อจากคําว่า “เดี๋ยวผม ได้เป็น สส. มีงบไปเบิ่งงาน จะพา อสม. ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง” ก็จะเห็นได้ว่าผู้คัดค้านทราบดีว่า ถ้อยคําดังกล่าวเป็นถ้อยคําที่ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวหาเสียงได้ ที่ผู้คัดค้านอ้างว่าผู้คัดค้านมิได้มีเจตนาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ผู้คัดค้านก็ให้การต่อสู้เพียงว่าเป็นการหาเสียงตามนโยบายของพรรค มิได้อ้างว่าคําปราศรัยดังกล่าว เช่นนั้น ผู้ฟังการปราศรัยส่งเสียงหัวเราะอันเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่าผู้ฟังการปราศรัยทราบดี เป็นการพูดหยอกเล่น รวมทั้งที่อ้างว่าจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในตำบลหนองตาดใหญ่ อำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา 3,947 คน แต่ผู้คัดค้านได้รับคะแนนเสียงเพียง 236 คะแนน นั่น ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็มิใช่สิ่งที่บ่งชี้ถึงเจตนาของผู้คัดค้านในขณะกล่าวถ้อยคําดังกล่าว
ข้อเท็จจริง จึงรับฟังได้ตามที่ผู้ร้องนําสืบว่า ถ้อยคําที่ผู้คัดค้านกล่าวเป็นถ้อยคําที่มีความหมายเป็นการสัญญาว่า จะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านและประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเอง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) และเมื่อการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้บุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์ เข้ามาเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ผู้ที่กระทําการใด ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยวิธีการอันมิชอบด้วยกฎหมายย่อมถือได้ว่าเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง และผู้ร้องยื่นคําร้องต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้สั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นได้
@ข้อเท็จจริงชัด ‘สัญญาว่าจะให้’จูงใจคนลงคะแนน ถือทุจริต
ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้คัดค้านกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) โดยสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านและประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง การกระทําของผู้คัดค้านดังกล่าว ย่อมเป็นการกระทําเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยวิธีการอันมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 226 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านเป็นเวลา 10 ปี
พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายสมชาย ภิญโญ ผู้คัดค้าน เป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคําพิพากษา

ข่าวเกี่ยวข้องคดีนี้ : โดนอีกราย! กกต.แจกใบแดง-ใบดำ 'สมชาย ภิญโญ' ผู้สมัคร สส.ภูมิใจไทย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา