“...ดีลแลกประเทศครั้งนี้มีเพียงคนไม่ถึง 1 % ที่ได้รับผลประโยชน์ แม้จะต้องทำลายล้างระบบนิติรัฐ นิติธรรม หรือกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศ ไปจนถึงการยอมให้ประเทศไทยถูกแช่แข็ง เศรษฐกิจล้าหลัง ทิ้งซากปรักหักพังไว้ให้คนอีก 99 % ในประเทศนี้...”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 165 คน ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รายนางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคม 2568 โดยจะมีการลงมติในวันที่ 26 มีนาคม 2568 นายณัฐพงษ์ ได้แถลงเหตุผลของเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีนางสาว แพทองธาร ดังนี้
โดยพวกข้าพเจ้าเห็นว่า นางสาวแพทองธาร เป็นผู้มีพฤติการณ์อันไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ้ายบริหารด้วยประการทั้งปวง ทั้งขาดภาวะผู้นำ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามสามารถและขาดเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะแก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติและประชาชน ส่งผลให้ทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศชาติ จงใจลอยตัวอยู่เหนือปัญหาและไม่มีความรับผิดชอบชอบต่อตำแหน่งหน้าที่เพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเอง ครอบครัว และพวกพ้องเป็นตัวตั้ง อยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม
@ ยินยอมให้บุคคลในครอบครัว ชี้นำ-ชักใย
นางสาวแพทองธาร ยังไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม โกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย บริหารบ้านเมืองผิดพลาด ล้มเหลวอย่างร้ายแรงทั้งในด้านการเมือง การปฏิรูปกองทัพ ความมั่นคง เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม ทำลายนิติรัฐทำลายระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา เจตนา ตลอดจนปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นภายใต้การบริหารงานของตนเอง
ทั้งยังทุจริตเชิงนโยบาย บริหารบ้านเมืองเพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้องและกลุ่มทุน แต่งตั้งบุคคลที่ขาดความเหมาะสม ขาดความรู้ความสามารถ หรือไม่ซื่อสัตย์สุจริตไปเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่น
นอกจากนี้ยังสมัครใจยินยอมให้บุคคลในครอบครัว ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบุคคคลในครอบครัวเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจจากพฤติการณ์ดังที่พวกข้าพเจ้าได้กล่าวมา หากปล่อยให้บุคคลดังกล่าวยังคงบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไป ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างที่ยากจะแก้ไขเยียวยาได้
@ ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของกลุ่มพวกพ้องตัวเอง
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 ประชาชน 40 ล้านคน เดินเข้าคูหาเลือกตั้งด้วยความหวัง ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา ว่ารัฐสภาแห่งนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้ เพื่อหยุดทศวรรษแห่งการสูญเปล่า เพื่อยืนยันสิทธิความเป็นคนไทยของพวกเราทุกคน
ยืนยันสิทธิว่า พอได้แล้วกับ 9 ปีที่สูญเสียไป ที่พวกเราถูกลิดรอนสิทธิพลเรือน ถูกขโมยโอกาส ถูกกดขี่คุณภาพชีวิต ไม่ให้ลืมตาอ้าปาก แต่ถ้าหากว่าใครนอนหลับไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 แล้วตื่นขึ้นมาในวันนี้ หลายคนที่นอนหลับไปคงจะแปลกใจทำไมทุกอย่างเหมือนเดิม
“ทำไมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในวันนั้นถึงได้แนบแน่น แนบสนิท เป็นเนื้อเดียวกัน กลมกลืน ไม่ต่างอะไรจากรัฐบาลที่มาจากคณะปฏิวัติรัฐประหาร การบริหารราชการแผ่นดินถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของกลุ่มพวกพ้องตัวเอง การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินสะเปะสะปะ ไม่เป็นท่า ปล่อยปละละเลยชีวิตประชาชน ปล่อยให้คนไทยต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ ด้วยสองมือ สองแขนและสองขาของตังเอง”
เริ่มตั้งแต่ปัญหาไฟป่า ไปจนถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 ปัญหาทุนเทาไปจนถึงปัญหาชายแดน แก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ปัญหาการศึกษาไปจนถึงการขาดขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาปากป้อง ค่าไฟแพง รวมไปถึงปัญหาด้านการเกษตร ปราบปลาหมอคางดำ และการทุจริตคอรัปชั่น
ทุกวันนี้ เรายังต้องเจอปัญหาแบบเดิม ๆ ทำไมคนไทยจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รัฐบาลที่มีเจตจำนงที่แน่วแน่ที่จะมาแก้ไขปัญหา ทำไมคนไทยถึงยังไม่มีโอกาสที่จะมีผู้นำที่มีคุณสมบัติเพียงพอในการหาทางออกให้กับประเทศ ทั้ง ๆ ที่ในการเลือกตั้งในปี 2566 ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ ลงมติกันแล้วว่าอยากได้การเปลี่ยนแปลง
@ ผลประโยชน์ครอบครัวเป็นแกนหลัก-กลุ่มทุนใกล้ชิดเป็นแกนรอง
“คำตอบที่อธิบายทุกอย่างได้ชัด เพราะรัฐบาลชุดนี้ เริ่มต้น ดำรงอยู่และเดินหน้าต่อเพื่อให้เกิดดีลแลกประเทศ ซึ่งผลประโยชน์ของคนตระกูลชินวัตรและครอบครัวยึดเป็นแกนกลาง และมีผลประโยชน์กับกลุ่มทุนใกล้ชิดและเครือข่ายการเมืองเป็นแกนรอง ส่วนประเทศและประชาชนต้องรอออกไปก่อน เดี๋ยวใกล้วันเลือกตั้ง พวกเราค่อยมาปรับบทละครกันอีกทีใช่หรือไม่ คิดว่า ประชาชนรู้ไม่ทันใช่หรือไม่”
พฤติกรรมที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายรัฐมนตรี ต่อมาจนสมัยนางสาว แพทองธาร ชินวัตร ที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ ว่า รัฐบาลเพื่อไทยยอมเป็นนั่งร้านให้กับกลุ่มอำนาจเดิมเพื่อใคร เพื่อคนตระกูลชินวัตรใช่หรือไม่ เพื่อให้บุคคลในครอบครัวได้กุมอำนาจรัฐบาล ให้บริวารได้เป็นรัฐมนตรี ถึงเวลานี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่สงสัยไม่เป็นความจริง รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นนั่งร้านให้กับใคร เพราะอันที่จริงแล้วพวกเขาได้หลอมรวมกันกลายเป็นพวกเดียวกันทั้งหมดไปแล้ว
ทำงานร่วมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หัวเราะร่วมวงไปด้วยกันได้ ไม่ได้เกี่ยวกับเจนาเรชั่น หรือภูมิหลังใด ๆ เพราะพวกเขาใช้วิธีจัดการผลประโยชน์ที่เหมือนกัน ต่อรองกันผ่านสนามกอล์ฟเหมือนกัน ใช้อำนาจเปลี่ยนดำเป็นขาวเช่นเดียวกัน รู้ช่องทางในการทำมาหากินผ่านระบบราชการเหมือน ๆ กัน พูดอีกอย่างก็คือ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาลพูดภาษาเดียวกัน และเล่นเกมเดียวกันมาตั้งแต่แรก
สังเกตได้จาก เรื่องไหนที่สามารถเดินหน้ารวดเร็วได้ผิดปกติ ไม่สนคำทักท้วง รีบทำเรื่อง รีบผลักดัน ก็คือ เรื่องที่ดีลผลประโยชน์กันลงตัว เช่น เรื่อง Entertainment Complex ที่กลายมาเป็นวาระเร่งด่วน ให้ความสำคัญเหนือกว่าการแก้ไขปัญหาชาวนา หรือการพัฒนาการศึกษาเพื่อเยาวชน
จากวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่สื่อมวลชนตั้งคำถามกับนายกรัฐมนตรีว่า รู้สึกอย่างไรกับคำว่า ดีลแลกประเทศ นายกรัฐมนตรีถามสื่อมวลชนกลับไปว่า ตระกูลชินวัตรได้อะไร สื่อมวลชนก็ตอบว่า ได้นายทักษิณกลับบ้าน นายกรัฐมนตรีตอบกลับว่า ได้นายทักษิกลับมาคงเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียวตลอดไป
“ชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรียอมรับตรงๆ โดยไม่ปฏิเสธ ว่า ดีลในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ เพื่อพาคุณพ่อกลับบ้านจริง ๆ ถ้าหากไม่เกี่ยว สัญชาติแรกของคนตอบคำถามต้องปฏิเสธทันที แต่ไม่ปฏิเสธใด ๆ”
@ ดีลแลกประเทศ ต้นทุนทางการเมืองที่ต้องจ่าย
ดีลแลกประเทศไม่ใช่เพียงแค่หมายถึงพานายทักษิณกลับบ้าน แต่ยังหมายรวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ประชาชนคนไทยต้องแลกด้วยผลประโยชน์ของประเทศมากมายมหาศาลที่เกิดขึ้นภายใต้ดีลนี้
“ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ ดูเผิน ๆ เหมือนกับว่า ประเทศอาจจะได้อะไรที่ดีขึ้นกว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เวลาผ่านไป 2 ปี เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า สิ่งที่เหมือนจะได้ กลับเสียมากกว่าเดิม การเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาลแพทองธาร ทำให้ประเทศไทยต้องจ่ายต้นทุนราคาแพงทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม”
ด้านการเมือง ดูเผิน ๆ เหมือนกับว่าประเทศไทยได้หวนคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบเต็มใบเสียที ได้ออกจากยุครัฐบาลที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ
“แต่พอดู ๆ ลงในเนื้อในรายละเอียดกลับไม่เป็นอย่างนั้น รัฐบาลเพื่อไทยทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศถดถอยลง ดัชนีชีวัดความเป็นประชาธิปไตย เช่น Democracy Index คะแนนตกลงจากปี 2566 จากเดิม 6.35 คะแนน เหลือเพียง 6.2 คะแนนในปี 2567 ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศมีประชาธิปไตยบกพร่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า มิหน้ำซ้ำยังโดนนานาอารยประเทศในกลุ่มเสรีรุมประณามจากการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งกำลังทำให้ประชาธิปไตยของประเทศเสื่อมถอยลงภายใต้เปลือกของคำว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”
@ ไทยรักไทยไม่เก่งเอง-เพื่อไทยคิดไปทำไป
ด้านเศรษฐกิจ ดูเผินๆ เหมือนเราจะได้รัฐบาลที่เก่งเรื่องเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าคนที่เคยเป็นกองเชียร์จะไม่เห็นด้วยกับจุดยืนทางการเมืองขอพรรคเพื่อไทยในวันนี้ หลายคนยอมปิดตาข้างหนึ่ง เพื่อคาดหวังว่าจะให้รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง
“ไม่เหมือนที่คุยกันไว้ พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เคยเกิดขึ้น เพราะไม่ได้ทำการบ้านอะไรมาล่วงหน้า จากที่คุยกันไว้ว่าจะได้ 5 % ได้เหลือเพียง 2.5 % ได้แค่ครึ่งเดียวของคำโฆษณา แต่ทิ้งไว้ด้วยราคาที่สังคมไทยต้องจ่ายสูง มากมายมหาศาล”
ปัญหาของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมา คือการไม่ยอมรับว่า สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีตได้รับประโยชน์จากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ไม่ได้เก่งด้วยตัวเองทั้งหมด
ทศวรรษ ในปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง พรรคไทยรักไทยได้รับอานิสงส์ดี ๆ จากนโยบายที่กองไว้อยู่บนโต๊ะ รอให้หยิบไปทำต่อได้ทันที เช่น หลักประกันสุขภาพทั่วหน้า ที่เครือข่ายหมอชนบทในเวลานั้นขับเคลื่อนมาอย่างยาวนาน มีคนเตรียมนโยบายดี ๆ ศึกษามาให้แล้ว ส่วนกระจายเม็ดเงินสู่รากหญ้า มีบทเรียนจากประเทศญี่ปุ่น ที่มาพร้อมกับโครงการมิยาซาว่า อีกด้านหนึ่ง เงินบาทที่อ่อนตัวลงช่วยให้การส่งออกเติบโตแบบก้าวกระโดด จากเดิมมีสัดส่วน 40 % ต่อจีดีพี พุ่งทะยานเป็น 70 % เป็นหัวหอกเศรษฐกิจไทยตัวใหม่
“น่าเสียดายที่พอมาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย นโยบายดีๆ ที่เคยกองอยู่บนโต๊ะตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว พอต้องคิดเองทำเอง ทั้งหมดคิดไปทำไปทั้งหมด ผลออกมาแบบที่เป็นอยู่”
@ ผู้นำนอกระบบ ไม่ต้องถูกตรวจสอบ
ในแง่ของการบริหารประเทศ การได้นายทักษิณกลับมาอีกครั้ง ดูเผินๆ เหมือนกับประเทศไทยจะได้ผู้นำแพคคู่ คนหนึ่งดูดีมีประสบการณ์ เดินสายทำงานนอกทำเนียบรัฐบาล โชว์วิชั่นใหม่ทุกเวที ส่วนอีกคนอยู่ในตำแหน่ง เป็นคนรุ่นใหม่ ทำงานในทำเนียบรัฐบาล พร้อมประสานทำงานกับคนรุ่นเก่า และไม่ต่างอะไรกับด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจ
“ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นเรากำลังมีผู้นำนอกระบบที่ทำงานนอกทำเนียบฯ เป็นคนชี้นำวาระ เป็นคนให้ข้อมูลและนโยบายนำหน้ารัฐบาล โดยปราศจากความรับผิดรับชอบใด ๆ เพราะไม่ต้องถูกถ่วงดุล ตรวจสอบ”
ในขณะเดียวกัน วันหนึ่งเคยบอกจะให้ค่าไฟ 3.70 บาทต่อยูนิต แต่ก็ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ผ่านมาอีก 2 เดือน บอกว่าจะลดค่าไฟให้เหลือ 2.50 บาทต่อยูนิต ราคาค่าไฟลดเร็วพอๆกับความน่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลายเป็นคนนอกระบบ พูดไปเรื่อย ไม่ต้องรับผิดรับชอบอะไรเลย
“ส่วนคนที่อยู่ในระบบ นั่งอยู่ในสภาแห่งนี้ แทนที่จะเป็นพลังตัวแทนของคนรุ่นใหม่ กลับขาดทั้งความรู้ ความสามารถ ขาดวุฒิภาวะ และขาดเจตจำนงทางการเมือง”
6 เดือนที่ผ่านมาเคยเห็นผู้นำตัวจริงผลักดันการแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ลอยตัวหนีปัญหา ไม่สนความเดือดร้อนของประชาชน
เมื่อรวมผู้นำนอกระบบ คือ นายทักษิณ กับผู้นำในระบบ คือ นางสาว แพทองธาร ประเทศไทยเสีย 2 ต่อ เพราะมีแต่คนที่กำหนดวาระทำงานลอยตัว ไม่ต้องรับผิดชอบกับคนที่ถืออำนาจรัฐที่ขาดคุณสมบัติ
การกระทำดังกล่าว ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นโดยตรงของประชาชน นางสาวแพทองธารจะทำตัวแบบเดียวกับนายกรัฐมนตรีที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร มองการเมืองในสภาเป็นแค่เรื่องน่ารำคาญ มองวาระในสภาเปรียบเสมือนก้อนกรวดในรองเท้า มองนักการเมือง มอง สส.ในสภา เป็นเพียงแค่จำนวนนับให้จัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ไม่ได้
@ ดีลแลกสัมปานไฟฟ้าแสนล้าน
ตราบใดที่นางสาว แพทองธาร ยังดำรงอยู่ในตำแหน่งต่อไปประเทศจะต้องแลกมาด้วยอะไรอีกบ้าง
เรื่องแรก ค่าไฟ ภาพที่เห็น คือ ภาพนายกฯตัวจริงออกไปตีกอล์ฟกับกลุ่มทุนพลังงาน เพื่อดีลสัมปทานไฟฟ้ามูลค่าหลายแสนล้านบาท สูบเงินเข้ากระเป๋าเจ้าสัว
“เป็นต้นทุนแรกที่ประชาชนต้องจ่ายไปกับดีลแรกประเทศ เพราะรัฐบาลชุดนี้พร้อมที่จะเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนที่เป็นคนใกล้ชิดของรัฐบาล”
เรื่อที่สอง ที่ดิน ปัญหาเรื่องป่าทับที่ ให้สัมปทานกับนายทุน ชาวนาขาดที่ดินทำกินจำนวนมาก แต่สิ่งที่รัฐบาลทำ คือ ดีลกันระหว่างสองพรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกรณีที่ดินมูลค่าหลายพันล้านบาท
เรื่องที่สาม การปฏิรูปกองทัพ ประชาชนหมดหวังกับรัฐบาลชุดนี้ เช่น พ.ร.บ.ระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่ต้องการให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ก็ถอยไม่เป็นท่า พ.ร.ป.ป.ป.ช. ที่มุ่งหวังให้ทหารที่ทำทุจริตต้องมาขึ้นศาลยุติธรรม ไม่ต่างกับข้าราชการอื่น ๆ ไม่ให้ขึ้นศาลทหาร ก็โดนโหวตคว่ำ และหมดหวังการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร
@ นายกฯตัวจริง อยู่เหนือระบบยุติธรรม
ด้านความยุติธรรม การเดินหน้ากระบวนการสันติภาพในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายครอบครัวยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ยังไม่ได้รับการคืนความยุติธรรมให้กับคดีตากใบ
“แต่นายกรัฐมนตรีจงใจปล่อยปละละเลย ไม่เร่งรัดติดตามในการนำตัวจำเลยที่หลบหนีไปต่างประเทศกลับมาดำเนินคดีเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับพ่อแม่พี่น้องในจังหวัดชายแดนใต้ ขณะที่นายกฯตัวจริงนอกระบบ กลับได้รับสิทธิอยู่บนชั้น 14 เหนือกฎเกณฑ์ใด ๆ เหนือระบบยุติธรรมในประเทศนี้ ที่มีนางสาว แพทองธาร ผู้เป็นบุตรสาวรับรู้ รับทราบ สถานะของคุณพ่อตัวเองมาโดยตลอด และยังมีผู้ต้องขังคดีการเมืองที่ยังรอคำตอบเรื่องการนิรโทษกรรม หมดหวังกับการทวงคืนความยุติธรรมให้กับประเทศนี้”
เมื่อสังคมไทยมีฉันทามติร่วมกันแล้วว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่นายกรัฐมนตรีลอยตัว ควบคุมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ ตอกตะปูปิดฝาโลงเรียบร้อยแล้ว ว่าประชาชนคนไทยจะไม่มีวันมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันการเลือกตั้งครั้งหน้า
ที่เถียงกันในสภาเป็นเพียงละครปาหี่ จะทำประชามติกี่ครั้ง รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นข้ออ้างทางกฎหมายมาบังหน้าเหตุผลทางการเมือง เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่อยากแก้ มีเสียงสว.อยู่ในมือจะแก้ทำไม
“ประเทศสูญเสียไปอีกหนึ่งครั้งที่ต้องอยู่ภายใต้กติกาที่ร่างมาโดยคสช. สืบทอดกลไกที่มาจากคณะปฏิวัติรัฐประหาร และไม่แก้ไขดำรงไว้โดยรัฐบาลแพทองธาร”
@ Entertainment Complex เอื้อกลุ่มทุนใกล้ชิด
การแจกเงิน การสร้าง Entertainment Complex ไม่สามารถกู้วิกฤตให้กับประเทศได้ เพราะเงินหมื่นที่แจกไปได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ได้สร้างการเติบโตใดๆให้กับเศรษฐกิจ การสร้าง Entertainment Complex ก็มองเห็นชัดล่วงหน้าว่า จะมีผู้ได้รับผลประโยชน์อยู่เพียงไม่กี่กลุ่ม คือ กลุ่มทุนใกล้ชิดกับรัฐบาล นี่คือ อีกหนึ่งโอกาสที่คนไทยจะสูญเสียไปจากการที่มีรัฐบาลที่คิดไปทำไป หาทางซื้อคะแนนเสียงไปวันๆ
จากทั้งหมดที่อภิปรายมานี้ชี้ให้เห็นว่า ดีลแลกประเทศครั้งนี้มีเพียงคนไม่ถึง 1 % ที่ได้รับผลประโยชน์ แม้จะต้องทำลายล้างระบบนิติรัฐ นิติธรรม หรือกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศ ไปจนถึงการยอมให้ประเทศไทยถูกแช่แข็ง เศรษฐกิจล้าหลัง ทิ้งซากปรักหักพังไว้ให้คนอีก 99 % ในประเทศนี้
ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทุกมิติ ปัญหาสำคัญยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ประสิทธิภาพความโปร่งใส ความเป็นประชาธิปไตยดัชนีตกลงทุกด้าน ดัชนีชี้วัดการทุจริตคอรัปชั่น (CPI) ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 12 ปี ยิ่งกว่ายุครัฐบาลคสช.เสียอีก ประชาชนหมดหวังในการทำธุรกิจ การประกอบสัมมาอาชีพ ภาคการเกษตร อุตสาหกรรมและการบริการ ปากท้องของคนไทย 99 % แย่ลงทุกระดับ
“เมื่อมองไปในอนาคต ราคาที่คนไทยจะต้องจ่ายในรัฐบาลแพทองธารสูงมากกว่านี้เป็นทวีคูณ ยังต้องเผชิญกับปัญหาเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสงครามการค้าโลก เราจะต้องแลกหรือเสียอะไรไปอีกเท่าไหร่จากการที่มีแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไป”
สิ่งที่พวกเราได้รับ ไม่ใช่ได้รัฐบาลนี้มาทำให้ประเทศดีขึ้น แต่ทำให้เราอ่อนแอลง ไม่กล้าฝัน ไม่กล้าหวังกับอนาคตที่ดีกว่า
“ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ที่เกิดขึ้น ภายใต้การจัดตั้งดีลแลกประเทศ ไม่มีแล้ว 2 ก๊ก 3 ก๊ก เหลือก๊กเดียว คือ พรรคร่วมคณะรัฐประหาร ที่กลายเป็นพวกเดียวกัน หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ให้นางสาว แพทองธาร ดำรงตำแหน่งอยู่ในนายกรัฐมนตรีไม่ได้อีกต่อไป”