"...เพราะแค่ทั้งสองฝ่ายออกมาพ่นน้ำลายใส่กันไม่เพียงพอ ควรจะต้องมีองค์กรที่น่าเชื่อถือขึ้นมาไต่สวนตรวจสอบให้เกิดความกระจ่างเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของตำแหน่ง "ท่านประธาน" ที่มีหน้าที่รักษาความเป็นกลางทั้งในทางการเมืองและการทำหน้าที่ตรวจสอบองค์กรระดับชาติ นอกจากนั้น ชาวบ้านยังขาดความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ขององค์กรระดับชาติจึงต้องมีคนเข้ามาไต่สวนตรวจสอบในลักษณะเดียวกัน..."
เขียนเรื่องสั้น ‘ไม่มีสัจจะในหมู่โจร‘ ออกมา 2 ตอน ได้รับเสียงตอบรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดี และยังมีเรื่องค้างคาใจผู้อ่าน เพราะทิ้งปริศนาไว้ว่าเรื่องจะจบ อย่างไร
- ไม่มีสัจจะในหมู่โจร : ตอน ท่านประธาน กก.องค์กรระดับชาติ และอดีตนายพลสีกากี
- ไม่มีสัจจะในหมู่โจร(2): บทสนทนาปริศนา?
ตามเนื้อเรื่องเดิม หลังจากมีคลิปภาพและเสียงของกรรมการองค์กรระดับชาติเข้าพบท่านประธาน ที่ห้องรับแขก ณ บ้านย่านนนทบุรี และพูดคุยกันถึงเรื่องการยุติคดีที่ขอให้ไต่สวนกรรมการองค์กรระดับชาติ ซึ่งอดีตนายพลสีกากีล่ารายชื่อชาวบ้านกว่า 20,000 ชื่อ ยื่นให้ท่านประธานส่งให้ประธานศาลสูงตั้งคณะไต่สวนพิเศษขึ้นมาไต่สวนกรรมการองค์กรระดับชาติ ถูกแพร่ทางรายการวิเคราะห์ข่าวทางทีวีดิจิทัลช่องหนึ่ง
ท่านประธานก็ออกมาแฉกลับว่า อดีตนายพลสีกากีซึ่งเป็นคู่กรณีของกรรมการองค์การระดับชาติ เป็นผู้นัดหมายมาและพากรรมการองค์กรระดับชาติมาพบตนโดยที่ไม่ทราบล่วงหน้าว่า อดีตนายพลสีกากี จะพากรรมการองค์กรระดับชาติมาด้วย
“เป็นการหักหลังกันชัดๆ มาพบผมที่บ้านแล้วยังมาแอบอัดเทปไปเผยแพร่ทางทีวี เกิดมาจนอายุป่านนี้แล้วยังไม่เคยเจอใครหน้าด้านแบบนี้” ท่านประธานให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างดุเดือด
อย่างไรก็ตามเมื่อนักข่าวถามว่าจะฟ้องอดีตนายพลสีกากีหรือไม่
ท่านประธานตอบสั้นๆว่า "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก"
แม้ตอนแรกอดีตนายพลสีกากีจะออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ไปบ้านท่านประธานในวันที่กรรมการองค์กรระดับชาติไปพบท่านประธานในช่วงก่อนวันปีใหม่ แต่เมื่อโดนสวนกลับและจำนนด้วยหลักฐานก็ออกมายอมรับว่า วันนั้นได้พากรรมการองค์กรระดับชาติไปด้วย
แต่ก็อ้างว่า มีการบอกกล่าวกับท่านประธานล่วงหน้าแล้วว่า จะพากรรมการองค์กรระดับชาติไปพบเพื่อพูดคุยเรื่องนี้การยุติคดีกันเอง แต่จะให้ตนถอนเรื่องเป็นไปไม่ได้เพราะจะทำให้ชาวบ้านกว่า 20,000 ชื่อผิดหวัง
“ผมเป็นถึงนายพลสีกากีขอเอาศักดิ์ศรีเป็นประกันจะโกหกได้อย่างไร” อดีตนายพลสีกากียืนยัน ทำเอาคนดูข่าวหน้าจอทีวีรำพึงว่า เละยิ่งกว่าโจ๊กเสียอีก
เมื่อดูจากท่าทีของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งการเก็บตัวเงียบของกรรมการองค์กรระดับชาติซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานอย่างเป็นทางการแล้ว
ดูท่าเหมือนจะเป็นการ "ตัดตอน" ให้เรื่องจบลงโดยไว
ทำให้สาธารณชนเป็นห่วงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาและไม่เชื่อมั่นต่อตำแหน่งของท่านประธานและองค์กรระดับชาติ
เพราะแค่ทั้งสองฝ่ายออกมาพ่นน้ำลายใส่กันไม่เพียงพอ ควรจะต้องมีองค์กรที่น่าเชื่อถือขึ้นมาไต่สวนตรวจสอบให้เกิดความกระจ่างเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของตำแหน่ง "ท่านประธาน" ที่มีหน้าที่รักษาความเป็นกลางทั้งในทางการเมืองและการทำหน้าที่ตรวจสอบองค์กรระดับชาติ
นอกจากนั้น ชาวบ้านยังขาดความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ขององค์กรระดับชาติจึงต้องมีคนเข้ามาไต่สวนตรวจสอบในลักษณะเดียวกัน
สื่อมวลชนต่างพยายามไปสัมภาษณ์บุคคลในแวดวงต่างๆเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้
แต่มีผู้เชี่ยวชาญกฎหมายรายหนึ่ง เสนอแนวทางที่น่าสนใจและมีความเป็นไปได้มากที่สุด โดยใช้กลไกที่มีอยู่ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน "ฉบับใบสั่ง"
แนวทางแรก ให้ สส.สภาสามก๊ก เข้าชื่อกัน 1 ใน 5 ยื่น กล่าวหาประธานองค์กรระดับชาติว่ากระทำการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่กรณีการไปพบกับท่านประธาน ณ บ้านย่านนนทบุรี เพื่อให้ยุติคดีที่อดีตในพลสีกากียื่นเรื่องไว้
นอกจากนั้น อดีตนายพลสีกากี ยังอยู่ระหว่างถูกองค์กรระดับชาติไต่สวนในบางคดี ดังนั้นการที่กรรมการองค์กรระดับชาติไปหนมาไหนกับอดีตนายพลสีกากีและเข้าบ้านท่านประธานด้วยกัน เป็นพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่
เมื่อ สส. สภาสามก๊กเข้าชื่อยื่นเรื่องกับท่านประธานแล้ว ท่านประธานจะมาอ้างว่าใช้ดุลพินิจเพื่อยุติเรื่องโดยเห็นว่าเรื่องไม่มีมูลเหมือนกับกรณีคดีที่อดีตนายพลสีกากียื่นเรื่องไว้ไม่ได้
เพราะการยื่นเรื่องเพื่อดำเนินการกับประธานองค์กรระดับชาติในครั้งหลังนี้ท่านประธานมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงและจะให้ท่านรองประธานวินิจฉัยแทนไม่ได้เพราะอำนาจในเรื่องนี้เป็นอำนาจเฉพาะตัวของท่านประธาน
ถ้าท่านประธานยังดื้อดึงจะวินิจฉัยให้คดีหลังนี้ตกไปเหมือนคดีแรกคงจะมีผลกระทบต่อความศักดิ์สิทธิ์ต่อตำแหน่งท่านประธานอย่างมาก
ดังนั้น ท่านประธานน่าจะต้องส่งเรื่องให้ประธานศาลสูงวินิจฉัยว่าจะตั้งคณะไต่สวนพิเศษขึ้นมาไต่สวนคดีนี้หรือไม่
ตามขั้นตอนถ้าคณะไต่สวนพิเศษไต่สวนแล้วเห็นว่ามีมูลก็จะต้องส่งเรื่องให้ศาลสูงพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป
แนวทางที่สอง เป็นการดำเนินการกับท่านประธานโดยตรง ซึ่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับใบสั่งระบุว่า ถ้าเห็นว่า ท่านประธานกระทำการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้ร้องเรียนกับองค์กรระดับชาติเพื่อไต่สวน และถ้าเห็นว่ามีมูลก็ให้ส่งให้ศาลสูงพิจารณาเช่นเดียวกัน
ถ้ากรณีนี้ สส. สภาสามก๊กเข้าชื่อกันดำเนินการเช่นเดียวกับแนวทางแรกก็จะทำให้การยื่นเรื่องต่อองค์กรระดับชาติมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญประธานองค์กรระดับชาติจะไม่สามารถเข้าร่วมไต่สวนคดีนี้ได้ เพราะมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง
“เรื่องการดำเนินการสองแนวทางผมเห็นว่า ถ้าใช้ "พรรคเพื่อนายใหญ่" ดำเนินการคงเป็นเรื่องยาก เพราะตอนนี้ พรรคเพื่อนายใหญ่มีอิทธิพลควบคุมกลไกต่าง ๆ ทางการเมืองไว้เกือบหมดแล้ว ดังนั้นผมเห็นว่า พรรคที่น่าจะดำเนินการเรื่องนี้ได้คือ "พรรคย่างสามก้าว" แต่ก็อย่าไปหวังอะไรมากเพราะมีข่าวหนาหูว่าเจ้าของพรรคย่างสามก้าว ไปฮั้วทางการเมืองกับพรรคเพื่อนายใหญ่เรียบร้อยแล้ว”
“ถ้าพรรคย่างสามก้าว จะพิสูจน์ตัวเอง ว่าไม่ไปฮั้วกับใคร ควรจะดำเนินการเรื่องนี้ เพราะคนที่ได้ประโยชน์ คือ ประชาชนเนื่องจากจะได้ทราบความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในห้องรับแขกของบ้านท่านประธาน”
“นอกจากนั้นถ้ามีการตรวจสอบตามกลไกดังกล่าวแล้วออกมาเคลียร์ว่าเป็นแผนทำลายความน่าเชื่อถือของท่านประธานและประธานองค์กรระดับชาติ โดยอดีตนายพลสีกากีทั้งสองคนก็จะได้พ้นมลทิน กู้คืนศักดิ์ศรีของตำแหน่งท่านประธานและความน่าเชื่อถือขององค์กรระดับชาติอีกด้วย”
นักข่าวถามว่า การให้องค์กรระดับชาติตรวจสอบหรือไต่สวนท่านประธานจะเชื่อถือได้หรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ ตอบว่า ถ้าถึงขั้นนี้แล้ว กรรมการองค์กรระดับชาติที่เหลือยังไม่ยอมทำหน้าที่ของตนเองอย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่แล้ว เท่ากับเป็นหายนะของชาติ
“ถ้าพรรคย่างสามก้าว ดำเนินการเรื่องนี้จริงประชาชนต้องช่วยกันจับตาดูด้วยและเรียกร้องให้มีการแถลงผลการไต่สวนอย่างละเอียดต่อสาธารณะ” ผู้เชี่ยวชาญรายนี้กล่าว
ผู้เขียนให้เพื่อนฝูงอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ดู ทุกคนบอกว่า ทำไมเนื้อเรื่องดูคุ้น ๆ เหมือนกับข่าวในประเทศเพื่อนบ้าน
ผู้เขียนยืนยันว่า ไม่เคยติดตามข่าวจากประเทศเพื่อนบ้านเลยแต่เขียนขึ้นจากจินตนาการล้วน ๆ
กำลังจินตนาการว่าจะจบเรื่องแบบหักมุมอย่างไร
หมายเหตุ : ภาพประกอบปก ขออนุญาตยืมมาจากคลิปทางทีวีดิจิทัลช่องหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายเหตุการณ์ในเรื่องสั้นเรื่องนี้