"...หมุดหมายต่อไปของ ‘ทักษิณ’ มีกระแสข่าวสะพัดกันหนาหูว่า เตรียมปัดฝุ่นฟื้นแผน ‘พาน้องสาวกลับบ้าน’ นั่นคือ ‘ยิ่งลักษณ์’ ที่ปัจจุบันหลบหนีคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว โทษจำคุก 5 ปี อยู่ต่างประเทศ ให้กลับมาไทย โดยผ่านกระบวนการยุติธรรม โดย ‘ทักษิณ’ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศ คาดว่า ‘ยิ่งลักษณ์’ จะกลับมาไทยในช่วงสงกรานต์ปี 2568..."
ปิดฉากปี 2567 ไปอย่างไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่นัก เพราะสถานการณ์การเมืองร้อนแรงตั้งแต่ต้นปี จนถึงปลายปี มีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน การจัดตั้ง 2 รัฐบาล และมีแนวโน้มสูงที่ในปี 2568 อุณหภูมิทางการเมืองจะพุ่งสูงยิ่งกว่านี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า พลันที่ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัยผู้อื้อฉาว บิดลัดฟ้ากลับมารับโทษทัณฑ์คดีทุจริตเมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา จะเป็นจุดพลิกผันทางการเมืองครั้งสำคัญของไทย เรียกได้ว่าขั้วอำนาจการเมืองไทยเปลี่ยนจาก ‘บ้านป่ารอยต่อฯ’ ที่รุ่งเรืองมานานนับ 10 ปี ตั้งแต่รัฐประหาร 2557 มาเป็น ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ อีกครั้ง เห็นได้จากมี ‘นักเลือกตั้ง-บิ๊กข้าราชการ’ เข้านอกออกในบ้านจันทร์ส่องหล้า หรือแม้แต่ไปพบกับ ‘ทักษิณ’ ทั้งทางแจ้ง-ทางลับ อีกจำนวนไม่น้อย
จุดเปลี่ยนสำคัญคือการผลักดันให้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ บุตรสาวคนเล็ก ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ คนที่ 31 ของไทยได้สำเร็จ โดย ‘ตระกูลชินวัตร’ ถือเป็นตระกูลแรกของไทยที่ผลักดันคนในตระกูลก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯได้ถึง 3 คน ได้แก่ ‘ทักษิณ’ นายกฯ 2 สมัย ระหว่างปี 2544-2549 ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ น้องสาว นายกฯ ระหว่างปี 2554-2557 และ ‘แพทองธาร’ นายกฯเมื่อปี 2567
ทั้งนี้ ‘ทักษิณ’ ที่ถือเป็นนักการเมืองซึ่งสปอร์ตไลท์ฉายแสงไปทุกครั้งเมื่อเขาขยับกาย นับตั้งแต่ถูกศาลฎีกาฯพิพากษาให้จำคุก และถูกส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ปรากฏว่า เข้าไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ได้ถูกส่งตัวไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และส่งตัวต่อไปที่ห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจแทบจะทันที โดยปรากฏภาพเจ้าหน้าที่กำลังเข็นเตียงที่มี ‘ทักษิณ’ นอนอยู่ พร้อมด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิตจำนวนมากรายล้อม จนปรากฎเป็นข้อครหา ‘นักโทษเทวดา’ ไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียวขึ้นมา
ประเด็นนี้ ถือเป็น ‘จุดด่างพร้อย’ สำคัญ จนสังคมตั้งคำถามกับกระบวนการยุติธรรมไทยขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเมื่อไม่กี่ปีก่อนเพิ่งเกิด ‘คดีบอส’ ขึ้นมา ก็มาเจอกับ ‘คดีชั้น 14’ ขึ้นอีก
ส่งผลให้มีภาคประชาชน และนักร้องเรียน ยื่นเรื่องต่อหน่วยงานรัฐ และองค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น กระทั่งเรื่องเริ่มมีมูลขึ้นมา เมื่อ กสม.มีมติว่า กรณีการส่ง ‘ทักษิณ’ ไปพักรักษาตัวห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ อาจมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกันเอื้อประโยชน์ให้แก่เขา เพื่อให้ไม่ต้องติดคุก พร้อมกับส่งรายงานดังกล่าวไปยัง ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการไต่สวนต่อ
ปัจจุบันคดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ยังเหลืออยู่ 6 คน จากทั้งหมด 9 คน ได้ตั้งองค์คณะไต่สวน (มีกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เป็นองค์คณะ) เพื่อพิจารณาไต่สวนคดีนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐรวม 12 รายที่ถูกไต่สวน ไล่เรียงมาตั้งแต่ระดับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รองอธิบดีฯ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นต้น
ท่ามกลางคดีร้อน ‘ชั้น 14’ อยู่ระหว่างไต่สวน ‘ทักษิณ’ ได้รับการพักโทษ และพ้นโทษออกมาเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา สามารถขยับตัวได้อย่างเสรี การเดินเกมเพื่อฟื้นคืนกระแส ‘ชินวัตรฟีเวอร์’ ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หลังจาก ‘ค่ายแดง’ ต้องตกป็นรอง ‘ค่ายส้ม’ มานานนับตั้งแต่ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ก่อร่างสร้างพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 2561
โดยในการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ ‘ค่ายแดง’ นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย ที่พ่ายแพ้การเลือกตั้ง ได้ สส.เป็นอันดับ 2 ขณะที่พรรคก้าวไกล (ชื่อขณะนั้น ปัจจุบันคือพรรคประชาชน) ได้ สส.มาเป็นอันดับ 1 ทั้งที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียง 5 ปีเศษ
‘ทักษิณ’ ในฐานะ ‘ผู้นำทางจิตวิญญาณ’ ค่ายแดง จึงจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อฟื้นวิกฤติศรัทธาของ ‘เพื่อไทย’ ให้กลับมามีที่ยืนบนกระดานการเมืองอีกครั้ง บรรดา ‘นักรบห้องแอร์’ จึงวางแผนให้เขาเดินสายไปทุกจังหวัด เพื่อเรียกเรตติ้งให้แก่ผู้สมัครนายก อบจ. ซึ่งเป็นสนามการเลือกตั้งครั้งแรกหลัง ‘ทักษิณ’ พ้นโทษ โดย ‘ค่ายแดง’ หวังกวาดชัยชนะให้เบ็ดเสร็จ เพื่อการันตีต่อยอดไปถึงการเลือกตั้งปี 2570 ที่ ‘ทักษิณ’ เคยเอ่ยปากว่าจะกวาดเก้าอี้ สส.เกิน 200 ที่นั่งให้สำเร็จ
นอกจากเพื่อเรียกความมั่นใจแล้ว ยังเป็นการประกาศส่ง ‘สาสน์ท้ารบ’ ไปยังศัตรูทางการเมืองหมายเลข 1 ขณะนี้คือ ‘ค่ายส้ม’ พรรคประชาชน (ปชน.) และเป็นฝ่ายค้านในสภาฯ ว่า ‘อาณาจักรชินวัตร’ กลับมาทวงบัลลังก์ทางการเมืองไทยแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ ‘บิ๊กเนมค่ายส้ม’ เคยวางแผนจะกวาดแลนด์สไลด์ปี 2570 หวังจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวให้ได้เช่นกัน
นอกจากอิทธิพลทางการเมืองที่ยังคงหลงเหลืออยู่แล้ว บารมีในพรรคเพื่อไทยของ ‘ทักษิณ’ ก็ยังคงล้นเปี่ยม เห็นได้จากการพูดในงานดินเนอร์ทอล์ค 2567 ที่จัดโดย ‘เครือเนชั่น’ และบนเวทีปราศรัยเลือกตั้งนายก อบจ.หลายแห่ง เสนอแนวคิดนโยบายหลายอย่าง จน ‘รัฐบาล’ นำไปใช้งานต่อยอด จนถูกมองว่าเป็น ‘นายกฯตัวจริง’ มากกว่า ‘พ่อนายกฯ’
จึงไม่แปลกที่ในปี 2567 สื่อมวลชนสายทำเนียบรัฐบาล จะตั้งฉายารัฐบาล ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ว่าเป็น ‘รัฐบาล (พ่อ) เลี้ยง’ สะท้อนให้เห็นว่า การขยับทุกฝีก้าวของ ‘แพทองธาร’ ล้วนมีเงาของ ‘ทักษิณ’ ผู้เป็นบิดาอยู่เบื้องหลังแทบทั้งสิ้น
ทว่า การขยับกายของ ‘ทักษิณ’ อาจไม่สะดวกมากนัก เพราะนอกจาก ‘คดีชั้น 14’ ซึ่งอยู่ระหว่าง ป.ป.ช.ไต่สวนแล้ว ‘ทักษิณ’ ยังเผชิญข้อครหาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ถูกศาลอาญาประทับรับฟ้อง และนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก ก.ค. 2568 อาจเป็นชนักปักหลังให้เขาขยับตัวได้ไม่ถนัดนัก โดยเฉพาะการเดินทางไปต่างประเทศ
อย่างไรก็ดีหมุดหมายต่อไปของ ‘ทักษิณ’ มีกระแสข่าวสะพัดกันหนาหูว่า เตรียมปัดฝุ่นฟื้นแผน ‘พาน้องสาวกลับบ้าน’ นั่นคือ ‘ยิ่งลักษณ์’ ที่ปัจจุบันหลบหนีคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว โทษจำคุก 5 ปี อยู่ต่างประเทศ ให้กลับมาไทย โดยผ่านกระบวนการยุติธรรม โดย ‘ทักษิณ’ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศ คาดว่า ‘ยิ่งลักษณ์’ จะกลับมาไทยในช่วงสงกรานต์ปี 2568
ขณะที่ การกลับมาของ ‘ยิ่งลักษณ์’ คราวนี้ คนในสังคมจับตาว่าจะ ‘ซ้ำรอย’ กับ ‘พี่ชาย’ ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ที่ยังถูกตั้งคำถามถึงจุดด่างพร้อยของกระบวนการยุติธรรมหรือไม่
ด้วยเหตุผลข้างต้นสะท้อนว่าในปี 2567 ‘ทักษิณ’ ยังเป็นนักการเมืองที่ยังทรงอิทธิพล และมารด้วยบารมีเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะเพิ่งกลับไทยในรอบ 16 ปีก็ตาม ‘ทักษิณ’ จึงเหมาะสมกับ ‘บุคคลแห่งปี 2567’ อย่างแท้จริง
รอลุ้นกันต่อในปี 2568 ฝันของ ‘ทักษิณ’ พา ‘น้องสาว’ กลับไทย จะสำเร็จเป็นรูปธรรม หรือเป็นได้แค่ฝันกลางวัน ต้องติดตาม