"...หากท่านประสงค์ที่จะให้บริษัทฯ ยุติการเป็นตัวแทนเชิดของท่าน บริษัทฯ มีความยินดีที่จะโอนคืนหุ้นธนาคารทหารไทยซึ่งปัจจุบันถือครองในหุ้นจำนวน 142,041,694 หุ้น คิดเป็นเงินจำนวน 248,572,964.50 บาท โดยคำนวณ ณ ราคาปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 หรือ หากท่านประสงค์จะให้บุคคลอื่นที่หุ้นจำนวนดังกล่าวแทน บริษัทฯ ยินดีดำเนินการเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นตามความประสงค์ของทำนต่อไป..."
ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า หลังจากที่ บริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือชี้แจงดังกล่าวแล้ว ทางผู้บริหารสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก หรือ ช่อง 5 เห็นชอบให้ดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร
คือ ข้อมูลสำคัญที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ทิ้งท้ายไว้ในรายงานข่าว กรณีปัญหาข้อพิพากเงินกู้ยืมจำนวน 1,453 ล้านบาท ตามสัญญากู้ลงวันที่ 19 ม.ค.2541 ที่ปรากฏข่าวว่า สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ได้ทำหนังสือแจ้งให้บริษัท อาร์ทีเอฯ ชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวคืนมาเป็นระยะๆ แต่ยังไม่ได้รับเงินกู้คืนครบถ้วนตามจำนวน
ขณะที่ในช่วงเดือน ต.ค.2567 ที่ผ่านมา บริษัท อาร์ทีเอฯ ได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเงินกู้วงเงิน 1,453 ล้านบาท ต่อ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ยืนยันว่า บริษัท อาร์ทีเอฯ ไม่ได้มีนิติสัมพันธ์กับสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกอย่างเจ้าหนี้ลูกหนี้แต่ประการใด และไม่ตกเป็นลูกหนี้เงินกู้ตามที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกกล่าวอ้างด้วย
บริษัท อาร์ทีเอฯ ยังให้เหตุผลว่า เนื่องด้วยพฤติการณ์ในทางกฎหมายรับฟังเป็นที่ยุติว่าเอกสารสัญญากู้ดังกล่าวเป็นการจัดทำขึ้นระหว่างบุคคลคนเดียวกัน คือ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานกรรมการบริหารกิจการโทรทัศน์กองทัพบก ได้มอบให้สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานในสายบังคับบัญชาของกองทัพบกและมีนายทหารในราชการของกองทัพบกเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ให้นำเงินจำนวน 1,453 ล้านบาท ออกให้บริษัท ททบ.5 จำกัด ในขณะนั้นหรือบริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน เพื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยเพื่อช่วยแก้ไขวิกฤตของธนาคาร โดยที่ในขณะนั้นธนาคารทหารไทยมีกองทัพบกเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงเงินทุนเรือนหุ้น (capital stock) ของธนาคารทหารไทย
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดในหนังสือชี้แจงของบริษัท อาร์ทีเอฯ ที่แจ้งต่อ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ยืนยันว่าไม่ได้มีนิติสัมพันธ์กับสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกอย่างเจ้าหนี้ลูกหนี้และไม่ตกเป็นลูกหนี้เงินกู้ตามที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกกล่าวอ้าง มีสถานะเป็นตัวแทนเชิด ในการเข้าถือครองหุ้นธนาคารทหารไทยด้วยวิธีการนำเงินจากช่อง 5 หรือกองทัพบกจำนวน 1,453,000,000 บาท เข้าซื้อหุ้นธนาคารทหารไทย และพร้อมจะหาทางออกร่วมกันกรณีถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบด้วย
**************
หนังสือลงวันที่ 28 ต.ค.2567
เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเงินลงทุน 1,453,000,000 บาท (ครั้งที่ 2 )
เรียน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก
ตามที่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ได้มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้โดยอ้างเอกสาร "สัญญากู้ลงวันที่ 19 มกราคม 2541 จำนวน 1,453,000,000.- บาท" รายละเอียดปรากฏตามหนังสือ อ้างถึง 1. นั้น
บริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์โพรส์ จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังสถานีวิทยุกองทัพบกต่อกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 โดยท่านได้รับหนังสือนั้นไว้โดยชอบด้วยระเบียบงานของท่านแล้วอันปรากฎเลขรับเอกสาร ที่ 1134/67 รับไว้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 เวลา 10.42 นาฬิกา โดยปรากฎเหตุตามข้อเท็จจริงว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง 1. นั้นเป็นเอกสารที่ทำขึ้นจากกองทัพบกโดยสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก โดยผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพบกและทำการโดยได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของบริษัทฯ
ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกู้ยืมเงินกันที่จะบังคับเอาได้ตามกฎหมายด้วยเหตุที่ผู้ให้กู้และผู้กู้เป็นบุคคลเดียวกันและเป็นการนำเงินจำนวนที่ได้มาจากพฤติการณ์ดังกล่าวไปใช้เพื่อประโยชน์ของผู้ให้กู้ ความละเอียดตามหนังสือที่อ้างถึง 2. แล้วนั้น
ในการนี้ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วนั้น ปรากฏว่าท่านยังคงมีหนังสือถึงบริษัทฯ ตามหนังสือที่อ้างถึง 3. ซึ่งอ้างเหตุเป็นการใช้สิทธิทวงถามให้ชำระหนี้และให้บริษัท ฯ นำเงินหรือสินทรัพย์ที่มีบางส่วนมาใช้หนี้นั้น
บริษัทฯ ขอชี้แจงในข้อเท็จจริงให้ท่านทราบดังนี้
บริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้มีนิติสัมพันธ์กับท่านอย่างเจ้าหนี้ลูกหนี้แต่ประการใด และไม่ตกเป็นลูกหนี้เงินกู้ตามที่ท่านได้อ้างถึง ด้วยเหตุที่พฤติการณ์ในทางกฎหมายรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่าเอกสารซึ่งท่านได้อ้างถึงนั้นเป็นการจัดทำขึ้นระหว่างบุคคลคนเดียวกัน
กล่าวคือ ผู้บัญชาการทหารบกในฐานะประธานกรรมการบริหารกิจการโทรทัศน์กองทัพบกได้มอบให้สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยงานในสายบังคับบัญชาของกองทัพบกและมีนายทหารในราชการของกองทัพบกเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ให้นำเงินจำนวน 1,453,000,000 บาท ออกให้บริษัท ททบ.5 จำกัด ในขณะนั้นหรือบริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน เพื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยเพื่อช่วยแก้ไขวิกฤตของธนาคารโดยที่ในขณะนั้นธนาคารทหารไทยมีกองทัพบกเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงเงินทุนเรือนหุ้น (capital stock) ของธนาคารทหารไทย
จากพฤติการณ์เช่นว่านั้นแม้ท่านจะจัดทำเอกสารโดยใช้ชื่อว่า "สัญญากู้ยืมเงิน" ก็ไม่อาจใช้สิทธิทางกฎหมายบังคับเอาได้เยี่ยงเจ้าหนี้ลูกหนี้ ด้วยเหตุที่พฤติการณ์ดังกล่าวมีเจตนาที่แท้จริงในการให้บริษัท ททบ.5 จำกัด ในขณะนั้นหรือบริษัท อาร์ที่เอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบันเป็นเพียงตัวแทนในการจัดการตามวัตถุประสงค์ของท่านและหรือกองทัพบกในการเข้าถือครองหุ้นธนาคารด้วยวิธีการนำเงินจากท่านและหรือกองทัพบกจำนวน 1,453,000,000 บาทเข้าซื้อหุ้นธนาคารทหาร จึงเป็นการบังคับเอาอย่างตัวการตัวแทนตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันเป็นแนวทางที่ศาลฎีกาได้นำมาเป็นแนวทางการพิจารณาต่อพฤติการณ์เช่นเดียวกันนี้เพื่อออกคำพิพากษาในหลายคดี
นอกจากนั้นแม้จะปรากฏรายการทางบัญชีโดยการบันทึกบัญชีเป็นการนำส่งคืนเงินกู้นั้นก็ไม่อาจนำมากล่าวอ้างเพื่อใช้สิทธิบังคับเอาอย่างเจ้าหนี้ลูกหนี้ตามกฎหมายการกู้ยืมได้ ด้วยมาตรฐานทางบัญชีมีการรับรู้ข้อมูลทางบัญชีเป็นการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้โดยการบันทึกบัญชีตามมาตรฐานทางบัญชีจะไม่ได้นำนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเข้ามาพิจารณาในการบันทึกบัญชีคงพิจารณาเพียงการได้มาหรือการคืนไปของบุคคลสองฝ่ายเท่านั้น
ดังนั้น จากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายบริษัท ททบ.5 จำกัด ในขณะนั้นหรือบริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน จึงไม่ได้ตกอยู่ในฐานะลูกหนี้เงินกู้อันพึงที่จะมีหน้าที่ชำระเงินกู้ให้กับท่าน
บริษัทฯ คงเป็นเพียงตัวแทนในการจัดการตามวัตถุประสงค์ของท่านและหรือกองทัพบกในการเข้าถือครองหุ้นธนาคารทหารไทยด้วยวิธีการนำเงินจากท่านและหรือกองทัพบกจำนวน 1,453,000,000 บาท เข้าซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยเท่านั้น
เมื่อบริษัท ททบ.5 จำกัด ในขณะนั้นหรือบริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบันไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงินให้กับท่านเยี่ยงลูกหนี้เงินกู้ตามกฎหมายแล้วนั้น การที่จะนำเงินหรือสินทรัพย์ที่มีบางส่วนไปชำระหนี้ให้กับท่านจึงเป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จะต้องกระทำ
อย่างไรก็ดี แม้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจะรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่าบริษัท ททบ.5 จำกัด ในขณะนั้น หรือบริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบันจะไม่ใช่ลูกหนี้เงินกู้ที่จะต้องมีหน้าที่คืนเงินกู้ แต่บริษัทฯ มีฐานะเป็นตัวแทนเชิดของท่านในการจัดการตามวัตถุประสงค์ของท่านและหรือกองทัพบกในการเข้าถือครองหุ้นธนาคารทหารไทยด้วยวิธีการนำเงินจากท่านและหรือกองทัพบกจำนวน 1,453,000,000 บาท เข้าซื้อหุ้นธนาคารทหารไทย
ดังนั้น หากท่านประสงค์ที่จะให้บริษัทฯ ยุติการเป็นตัวแทนเชิดของท่าน บริษัทฯ มีความยินดีที่จะโอนคืนหุ้นธนาคารทหารไทยซึ่งปัจจุบันถือครองในหุ้นจำนวน 142,041,694 หุ้น คิดเป็นเงินจำนวน 248,572,964.50 บาท โดยคำนวณ ณ ราคาปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 หรือ หากท่านประสงค์จะให้บุคคลอื่นถือหุ้นจำนวนดังกล่าวแทน บริษัทฯ ยินดีดำเนินการเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นตามความประสงค์ของทำนต่อไป
อนึ่ง บริษัทฯ ขอเรียนให้ท่านทราบว่าในระหว่างการถือครองหุ้นโดยบริษัทฯ นั้น ท่านไม่ได้ให้อำนาจในการเข้าดำเนินการอย่างใดๆ กับหุ้นหอันหมายความรวมถึงการจัดให้มีกลยุทธ์ในการซื้อขายหุ้นเพื่อรักษามูลค่าการลงทุนจำนวนเงิน 1,453,000,000 บาท จึงเป็นเหตุให้มูลค่าต่อหุ้นจากราคา 10 บาทต่อหุ้น ลดลงเหลือ 1.75 บาทต่อหุ้น อันเป็นไปตามกลไกและปัจจัยในตลาดทุนตามปกติโดยทั่วไปจึงส่งผลให้ปัจจุบันเงินลงทุนของท่านคงเหลือน้อยกว่าเงินลงทุนในห้วงเวลาแรกในคราวปี พ.ศ. 2541
นอกจากเงินลงทุนดังกล่าวข้างต้นแล้วยังปรากฏในส่วนเงินทุนประเดิมการก่อตั้งบริษัทฯ ตามที่ท่านและหรือกองทัพบกได้จัดให้เป็นทุนประเดิมก่อตั้งบริษัท จำนวน 10 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันในรายการทางบัญชีบริษัทฯ มีฐานะขาดทุนเกินทุน อันหมายความได้ว่าบริษัทมีหนี้สินเกินกว่าทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท การที่จะคืนเงินทุนให้กับผู้ประเดิมทุนในการก่อตั้งจึงเป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จะกระทำได้ในทางบัญชี
อย่างไรก็ดี การดำเนินกิจการของบริษัท ททบ.5 จำกัด ในขณะนั้นหรือบริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์โพรส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบันไม่ได้เป็นไปโดยปกติทั่วไป ฉะนั้นการที่จะจัดการต่อสภาพความผูกพันทั้งในส่วนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในเงินลงทุน 1,453,000,000 บาท รวมไปถึงทุนประเดิมการจัดตั้งบริษัทฯ และอาจหมายความถึงสินทรัพย์อื่นๆ ให้ได้ข้อยุติต่อกรณี
อีกทั้งเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยสุจริตต่อการไต่สวนในกรณีดังกล่าวของคณะอนุกรรมการไต่สวน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งได้รับเรื่องนี้ไว้ในอำนาจการไต่ส่วนเพื่อดำเนินคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2547 นั้น บริษัทฯ เห็นควรให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขสภาพความผูกพันเช่นว่านั้นให้ได้ข้อยุติร่วมกันโดยเร็ว หากเนิ่นช้าไปอาจส่งผลต่อการพิจารณาของหน่วยงานตรวจสอบอื่นซึ่งอาจกระทบสิทธิทางกฎหมายต่อหน่วยงานและหรือกระทบสิทธิเป็นการเฉพาะตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งนับแต่ห้วงเวลาที่นิติสัมพันธ์กันจนกระทั่งปัจจุบัน
บริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ขอยืนยันในเจตนาโดยชอบด้วยกฎหมายว่าแม้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่าบริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้ตกอยู่ในฐานะลูกหนี้เงินกู้ตามกฎหมายและไม่มีหน้าที่ต้องส่งคืนเงินกู้นั้น
แต่บริษัทฯ ก็ไม่ได้มีเจตนาในการประวิงเวลาหรือยึดหน่วงสินทรัพย์ใดให้ตกอยู่ในการกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หากที่จะร่วมกันแสวงหาแนวทางการแก้ไขเหตุแห่งกรณีให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งยังจะได้เป็นเหตุแห่งแนวทางในการยุติการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อยับยั้งไม่ให้ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาโดยไม่สมควร
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
*************
ทั้งหมดนี้ คือ รายละเอียดในหนังสือชี้แจงของบริษัท อาร์ทีเอฯ ที่แจ้งต่อ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ยืนยันว่าไม่ได้มีนิติสัมพันธ์กับสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกอย่างเจ้าหนี้ลูกหนี้และไม่ตกเป็นลูกหนี้เงินกู้ จำนวน 1,453,000,000 บาท ที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบล่าสุด
ส่วนข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ สำนักข่าวอิศรา จะติดตามมานำเสนอต่อไป