เปิดมติ ป.ป.ช. เอกฉันท์ 9 เสียง ชี้มูลความผิด 'ชาญ พวงเพ็ชร์'ว่าที่ นายก อบจ.ปทุมธานี คนใหม่ คดีจัดซื้อถุงยังชีพช่วยน้ำท่วม เมื่อปี 2554 ผิดมาตรา 151 ,157 ,162 (1) , (4) ก่อนศาลอาญาคดีทุจริตฯ ประทับรับฟ้อง นัดไต่สวนสืบคดีในช่วงกลางเดือน ก.ค.2567 นี้ ชนวนเหตุอาจถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หลังเข้ารับตำแหน่งใหม่ ตามคำวินิจฉัยกม.กฤษฏีกา-มีคดีค้างเครื่องออกกำลังกายด้วย
กรณี นายชาญ พวงเพ็ชร์ ว่าที่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี คนใหม่ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยังชีพเมื่อปี พ.ศ.2555 ปัจจุบัน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำสั่งประทับฟ้องคดีนี้แล้วและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอาญาฯ และอาจส่งผลทำให้ นายชาญ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ หลังเข้ารับตำแหน่งใหม่ ตามความเห็นทางกฎหมาย คณะกรรมการกฤษฏีกา ที่ตอบข้อหารือ กระทรวงมหาดไทย เรื่องการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารบริหารท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่การให้ความเห็นว่า เมื่อศาลคดีอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้ประทับรับฟ้องในคดีอาญาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว ผู้บริหารท้องถิ่นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 93 อันเป็นการหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยผลของกฎหมาย ไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะพ้นจากตำแหน่งและกลับมาดำรงดำแหน่งเดิมใหม่ โดยผู้กำกับดูแลมิต้องมีคำสั่งอีก แต่ผู้กำกับดูแลมีหน้าที่จะต้องดูแลให้มีการหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
โดยคดีนี้ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ฟ้องเอง หลังไม่สามารถหาข้อยุติความไม่สมบูรณ์ในสำนวนคดีกับฝ่ายอัยการได้ ศาลฯ มีการนัดไต่สวนสืบคดีในช่วงกลางเดือน ก.ค.2567 นี้
ล่าสุด แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา ว่า คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มี.ค.2564 ลงมติชี้มูลความผิด นายชาญ พวงเพ็ชร์ และพวก กรณีถูกกล่าวหาทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพในโครงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุทกภัยในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 2 ครั้ง เมื่อปี 2554 มูลค่านับล้านบาท
ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในขณะนั้นพิจารณาแล้ว มีมติเอกฉันท์ 9 เสียง เห็นชอบตามความเห็นคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้น ว่า การกระทำของนายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จและรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และ มาตรา 162 (1) , (4) ประกอบมาตรา 91 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192
นอกจากนี้ ยังมีมูลความผิด ฐานละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 79
สำนักข่าวอิศรา รายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากคดีซื้อถุงยังชีพดังกล่าวแล้ว ในช่วงปี 2560 นายชาญ พวงเพ็ชร์ นายก อบจ.ปทุมธานี ในขณะนั้น ปรากฏชื่อเป็น 1 ใน 5 ผู้บริหารระดับสูงของ อบจ. ที่ถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงนามในคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 35/2560 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 9 (จำนวนเจ้าหน้าที่รัฐที่ปรากฎรายชื่อมีทั้งหมด 70 ราย) เป็นเหตุทำให้ต้องถูกระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่เป็นการชั่วคราว เพื่อเข้าสู่กระบวนการตั้งคณะกรรมการสอบสวนจากหน่วยงานตนสังกัดเป็นทางการ
ข้อกล่าวหา นายชาญ ในคดีนี้ ถูกระบุว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย เมื่อช่วงปี 2555-2556 จำนวนหลายสัญญา ซึ่งถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบว่า มีการตั้งราคาจัดซื้อสูงเกินกว่าความเป็นจริงถึงกว่า 40 ล้านบาท และมีการส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับไปดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันเป็นทางการว่า กรณีการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายดังกล่าว ป.ป.ช.มีการผลการไต่สวนและชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐรายใดหรือไม่