"...ข้อต่อสู้ของจำเลยในชั้นพิจารณาจึงมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาประกอบกับพฤติกรรมของจำเลย ซึ่งไม่นำพาหรือขวนขวายที่จะให้การหรือแสดงหลักฐานใดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตนในชั้นสอบสวนอันเป็นการผิดวิสัยของบุคคลทั่วไปในฐานะปวงชนชาวไทยซึ่งต้องเคารพและไม่ละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : ในช่วงบ่ายวันที่ 13 ธ.ค.2566 ที่ผ่านมา หลังปรากฎข่าว ศาลอาญา มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.พรรคก้าวไกล ในความผิดฐาน ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์พ.ศ.2550 มาตรา3,14 โดยศาลอาญา มีคำพิพากษา จำคุก น.ส.รักชนก เป็นเวลา 6 ปี ไม่รอลงอาญา
ศาลอาญา ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์คำพิพากษาคดีนี้เป็นทางการ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
วันนี้ (13 ธันวาคม 2566) เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 683/2565 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ นางสาวรักชนก ศรีนอก จำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาต มาดร้าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระมหากษัตริย์ โดยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา โดยจำเลยใช้บัญชีทวีตเตอร์ "ไอซ์ หรือ @nanaicez" ของจำเลย โพสต์ (tweet) ข้อความว่า "พูดตรงๆนะ ที่พวกเราต้องมาเจอวิกฤตวัคซีนแบบทุกวันนี้ เริ่มต้นก็เพราะรัฐบาลผูกขาดวัคนเพื่อหาซีนให้เจ้า สร้างวาทะกรรมของขวัญจากพ่อต่าง ๆ เล่นการเมืองบนวิกฤตชีวิตของประชาชน ผลสุดท้ายคนที่ชวยที่สุดคือประชาชน #28กรกฎาร่วมใจใส่ชุดดำ" พร้อมรูปภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระมหากษัตริย์ ประกอบป้ายข้อความว่า "ทรราช (คำนาม) TYRANT; ผู้ปกครองบ้านเมืองที่ใช้อำนาจสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง" ลงบนแอปพลิเคชันทวีตเตอร์
ทำให้เข้าใจความหมายได้ว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระมหากษัตริย์ เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนโดยประการที่จะทำให้พระบาทสมเด็จพระวชิระเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระมหากษัตริย์ ทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ทรงถูกดูหมิ่นหรือทรงถูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และเป็นการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญาในสภาพที่ ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เมื่อระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 9 สิงหาคม 2564 วันและเวลาใดไม่ปรากฎชัด
จำเลยหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระมหากษัตริย์ โดยการเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา โดยจำเลยใช้บัญชีทวีตเตอร์ "ไอซ์ หรือ @nanaicez" ของจำเลย โพสต์ซ้ำ (retweet) ข้อความที่ผู้ใช้บัญชีทวีตเตอร์ "CHANI หรือ @ratsinapata" โพสต์ (tweet) ข้อความว่า "เราไม่เป็นไทจนกว่ากษัตริย์จะถูกแขวนคอด้วยลำไส้ของขุนนางคนสุดท้าย" #ล้มราชวงศ์จักรี" ประกอบข้อความที่ผู้ใช้บัญชีทวีตเตอร์ "นิรนาม หรือ @231022" โพสต์ (tweet) ข้อความว่า "เราจะไม่เป็นไทจนกว่ากษัตริย์จะถูกแขวนคอด้วยลำไส้ของขุนนางคนสุดท้าย" #วชิราลงกรณ์เป็นฆาตกร #ม็อบ16ตุลา #16ตุลาไปแยกปทุมวัน" ลงบนแอปพลิเคชันทวีตเตอร์
ทำให้เข้าใจความหมายได้ว่าเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายและไม่เคารพสักการะพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระมหากษัตริย์ทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ทรงถูกดูหมิ่นหรือทรงถูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และเผยแพร่หรือส่งต่อ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 112 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3,14 (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มาตรา 8
จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก็มีนาง ม. เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นสมาชิกแอปพลิเคชันไลน์แบบกลุ่ม ได้รับภาพที่ส่งเข้ามาในกลุ่มไลน์ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ทวีตภาพและข้อความ และรีทวีต (RETWEET) ซึ่งพยานเห็นว่า การทวีตของจำเลยเป็นการใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 ส่วนการรีทวีตของจำเลยมีการระบุชื่อของรัชกาลที่ 10 และมีเนื้อหาที่เป็นการเหยียดหยาม ดูหมิ่น อาฆาต มาดร้ายพระมหากษัติรย์ เนื่องจาก มีรูปโพรไฟล์และชื่อของจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความ พยานจึงนำภาพและข้อความดังกล่าวไปแจ้งความกล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับจำเลยที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และยังมีพันตำรวจโท ภ. เป็นพยานเบิกความว่า พยานได้รับการประสานให้เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีทวีตเตอร์ของจำเลยและบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการรีทวีต แล้ว ผลการตรวจสอบบัญชีทวีตเตอร์ของจำเลยมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
โดยมีการโพสต์ภาพของบุคคลและมีการเชื่อมโยงกับบัญชีเฟซบุ๊ก ชื่อ RUKCHANOK SRINORK และมีอินสตาแกรมโดยมีชื่อผู้ใช้บัญชี USER NAME เช่นเดียวกัน จำเลยให้การต่อสู้ประการหนึ่งว่า ภาพและข้อความตามฟ้อง เป็นการใส่ร้ายตนจากบุคคลที่เห็นต่างทางการเมือง หากตนโพสต์ภาพและข้อความตามฟ้อง ซึ่งมีเนื้อหาค่อนข้างร้ายแรงแล้ว ย่อมต้องถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอน เพราะมีบุคคลที่จ้องจะเล่นงานตนอยู่แล้ว ตนจึงไม่มีทางที่จะโพสต์ภาพและข้อความตามฟ้อง และตนมีความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่กลับได้ความจากพยานโจทก์ ปากนาง ม. ซึ่งไม่เคยรู้จักกับจำเลยเป็นการส่วนตัว หรือมีสาเหตุบาดหมางกับจำเลยมาก่อน
@ แจ้งจับคนด้วย ม.112 เป็นการทำหน้าที่ของชาวไทย
ทั้งเมื่อไม่ปรากฏว่า นาง ม. เป็นนักการเมือง หรือมีส่วนได้เสียทางการเมือง การที่นาง ม.นำภาพและข้อความตามฟ้อง มาแจ้งความกล่าวหาให้ดำเนินคดีกับผู้ที่โพสต์ นับว่าเป็นการทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 50(1) จึงเชื่อว่า นาง ม. แจ้งความและเบิกความไปตามสิ่งที่ตนพบเห็น โดยไม่มีเจตนากลั่นแกล้งจำเลยแต่อย่างใด หากจำเลยมีความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว ย่อมไม่อาจมีการโพสต์ข้อความใด ๆ ในทางลบ ให้นาง ม. หรือประชาชนทั่วไปได้พบเห็น ข้ออ้างของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่น่าเชื่อถือ
@ 'รัชนก' ไม่ขวนขวายแสดงความบริสุทธิ์ ผิดวิสัยคนไทยที่เคารพพระมหากษัตริย์
ประกอบกับในชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธ โดยไม่ได้ให้การในรายละเอียดแต่ประการใด ซึ่งจำเลยให้การเพียงว่า "ขอไม่ให้การ" และเมื่อพนักงานสอบสวนถามถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย จำเลยก็ให้การว่า "ไม่ได้เอามา" โดยจำเลยมิได้ให้การโต้แย้งว่าเป็นภาพตัดต่อหรือโต้แย้งว่า ตนถูกใส่ร้ายทางการเมือง รวมทั้งมิได้ขวนขวายที่จะขอส่งมอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนให้พนักงานสอบสวนทำการตรวจสอบข้อมูล ทั้งที่เป็นการไม่ยากที่จะกลับไปเอาหรือส่งมอบให้ภายหลังในระยะเวลาอันสมควร ทั้งที่จำเลยถูกแจ้งข้อหาในความผิดร้ายแรงที่กระทำต่อพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการตัดต่อนำภาพโปรไฟล์ของจำเลยมาโพสต์เพื่อใส่ร้ายจำเลยจริงแล้ว เชื่อว่าจำเลยย่อมต้องให้การโต้แย้งต่อพนักงานสอบสวนว่ามีการตัดต่อภาพเพื่อใส่ร้ายตน
พฤติกรรมของจำเลยที่ไม่ขอตอบข้อซักถามของพนักงานสอบสวนและไม่ขวนขวายในการแสดงหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตน จึงเป็นการผิดวิสัยของประชาชนคนไทยทั่วไปที่สืบสานวัฒนธรรมและทัศนคติในการเคารพองค์พระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน ซึ่งการจะมีหลักฐานทางระบบคอมพิวเตอร์หลงเหลืออยู่หรือไม่ต้องพิจารณาพฤติกรรมของจำเลยในการให้ความร่วมมือและการเสนอพยานหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วย
และไม่มีเหตุใดให้เชื่อว่าพนักงานสอบสวน นาง ม. ผู้กล่าวหา จะร่วมกันคิดสร้างหรือกำหนดจัดแต่ง URL รวม 4 URL ขึ้นมาเองเพื่อเอาผิดจำเลย ซึ่งแต่ละ URL จะมีรายละเอียดแตกต่างกัน จำเลยเองกลับมิได้ให้การทักท้วงหรือปฏิเสธถึงความมีอยู่หรือความถูกต้องของ URL ดังกล่าวในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันเป็นระยะเวลาที่เชื่อว่าจำเลยไม่อาจคิดหาหนทางบิดเบือนข้อเท็จจริงได้ดังเช่นข้อต่อสู้ในชั้นพิจารณา ซึ่งเป็นระยะเวลาห่างจากที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนประมาณ 1 ปี 6 เดือน
ข้อต่อสู้ของจำเลยในชั้นพิจารณาจึงมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาประกอบกับพฤติกรรมของจำเลย ซึ่งไม่นำพาหรือขวนขวายที่จะให้การหรือแสดงหลักฐานใดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตนในชั้นสอบสวนอันเป็นการผิดวิสัยของบุคคลทั่วไปในฐานะปวงชนชาวไทยซึ่งต้องเคารพและไม่ละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ
@ เชื่อว่าอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์และพระราชินี
เชื่อว่าจำเลยได้โพสต์หรือทวีตและรีทวีตภาพและข้อความลงในระบบคอมพิวเตอร์ตามฟ้อง ภาพและข้อความตามฟ้องนับว่ามีเนื้อหาซึ่งเป็นการกล่าวร้ายและอาฆาตมาดร้ายต่อพระชนม์ชีพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และราชวงศ์จักรี ซึ่งย่อมหมายถึงพระราชินีด้วย จำเลยจึงมีความผิดต่างกรรมต่างวาระ
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(2) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ
จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมสองกระทง คงจำคุก 6 ปี.
*******
อนึ่งเกี่ยวกับคดีนี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า ภายหลังฟังคำพิพากษา น.ส. รักชนก ยังมีสีหน้ายิ้มเเย้ม เเละถูกพาไปห้องควบคุมตัว ก่อนที่ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะทนายความ จะใช้ตำเเหน่งยื่นประกันน.ส. รักชนก และเงินสด 3 แสนบาทในเวลาต่อมา
นายชัยธวัช ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นประกันตัวโดยใช้ตำแหน่งตนเองและหลักทรัพย์เงินสดจำนวน 300,000 บาท ประกอบในการยื่นประกันตัว คาดว่าจะทราบผลการประกันตัวในช่วงบ่ายวันนี้ โดยภายหลังจากตนเองประชุมสภาเสร็จเรียบร้อยแล้วจะเดินทางมาติดตามผลในช่วงบ่ายด้วย ส่วนหลังจากนี้จะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ต้องรอฟังผลการขอยื่นประกันตัวก่อน
นายชัยธวัช ยืนยันว่า คดีนี้เกิดขึ้นก่อนที่ น.ส.รัชนกจะเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกล ทางพรรคไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเข้าไปต่อสู้คดีตั้งแต่ต้น แต่เป็นเรื่องของทนายความ เมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้วก็จะต้องยอมรับปฏิบัติตามนั้นและยังคงต้องให้นางสาวรัชนกได้ใช้สิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรมอีกเต็มที่ในอีกสองศาลที่เหลือ
ส่วนท่าทีนางสาวรัชนกหลังได้รับฟังคำพิพากษานั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า ไม่ได้มีความกังวลอะไร เนื่องจากกระบวนการยังไม่ถึงที่สุด