"...เนื้อหาคำพิพากษานั้นแสดงให้เห็นว่า นางจินตนา ยืนนาน นายสุริญญา ยืนนาน และนายเคี่ยม สมใจหมาย สามารถชี้แจงรายละเอียดที่มาของทรัพย์สินได้ทั้งหมด และสามารถนำสืบถึงที่มาแห่งการออกโฉนดที่ดินว่าได้ดำเนินการขั้นตอนทางกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานรัฐทุกประการ มิใช่ผู้กระทำความผิด..."
หมายเหตุ : จากกรณีสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2566 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยมติที่ประชุม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายเจริญ จันทร์ปาน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย กับพวก ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 40410 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมิชอบ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 สำนักข่าวอิศรา ได้รับการติดต่อจากนายภูดิท โทณผลิน ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนาง จินตนา ยืนนาน นาย สุริญญา ยืนนาน นาย เคี่ยม สมใจหมาย เพื่อขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับเนื้อข่าว ระบุสาระสำคัญว่า ศาลแพ่ง ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ยกคำร้องพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 2 สำนักงานอัยการสูงสุด และคืนทรัพย์สินทั้งหมดทุกรายการให้กับบุคคลที่ปรากฏในข่าว และไม่ปรากฎว่าบุคคลตามเนื้อข่าวคือนาง จินตนา ยืนนาน กับนาย สุริญญา ยืนนาน รวมถึง นาย เคี่ยม สมใจหมายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดแต่อย่างใด
เนื้อหาคำพิพากษานั้นแสดงให้เห็นว่า นางจินตนา ยืนนาน นายสุริญญา ยืนนาน และนายเคี่ยม สมใจหมาย สามารถชี้แจงรายละเอียดที่มาของทรัพย์สินได้ทั้งหมด และสามารถนำสืบถึงที่มาแห่งการออกโฉนดที่ดินว่าได้ดำเนินการขั้นตอนทางกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานรัฐทุกประการ มิใช่ผู้กระทำความผิดตามที่ท่านได้ลงในเนื้อข่าวแต่อย่างใด
ปรากฏรายละเอียดดังนี้
ตามที่ท่านได้เสนอข่าวเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2566 ผ่านทาง (www.isrsnews.org) เกี่ยวกับคดีที่ดินบนเกาะสมุย โดยมีหัวข้อข่าวดังต่อไปนี้ ป.ป.ช.เผยแพร่มติชี้มูลความผิดเจ้าพนักงานที่ดินสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย กับพวก ออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ โดยมีเนื้อหาว่า ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อ พ.ศ. 2551 นางจินตนา ยืนนาน นายสุริญญา ยืนนาน และนายเคี่ยม สมใจหมาย ได้ร่วมกันนำ ส.ค.1 เลขที่ 311 ซึ่งได้ออกเป็นโฉนดเลขที่ 24837 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 แล้ว มาสวมเพื่อขอออกโฉนดที่ดินเลขที่ 40410 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งนายประวิทย์ บุษบงค์ หัวหน้างานฝ่ายทะเบียน และนายพิชัย จันทร์ศรี หัวหน้าฝ่ายทะเบียน จะต้องมีคำสั่งไม่รับคำขอ แต่กลับมีคำสั่งรับคำขอและส่งเรื่องให้ฝ่ายรังวัดดำเนินการ โดยมีนายเจริญ จันทรา กำนันตำบลบ่อผุด เป็นผู้นำชี้รังวัด และรับรองว่าที่ดินที่นำมารังวัดถูกต้องตรงตามหลักฐาน ส.ค.1 เลขที่ 311 และไม่ทับที่หลวงหวงห้ามหรือที่สาธารณประโยชน์ อีกทั้งนายพิชัย จันทร์ศรี นายวันชัย สิทธิฤทธิ์ นายโชคดี ศรัณยพิพัฒน์ และ นายชัยศิษฐ์ หรือสิริชัย ช่อคง ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจสภาพที่ดิน ได้ร่วมกันจัดทำบันทึกตรวจสภาพที่ดิน โดยละเว้นไม่ตรวจสอบความถูกต้องตรงแปลงของ ส.ค.1 เลขที่ 311
โดยมีเจตนาเพื่อให้นายเจริญ จันทร์ปาน เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย ใช้เป็นหลักฐานออกโฉนดที่ดินให้กับนางจินตนา ยืนนาน ทั้งที่ในความเป็นจริงที่ดินที่นำมารังวัดเป็นที่ดินที่ไม่มีหลักฐานสำหรับที่ดิน
อีกทั้งผลการตรวจสอบของกรมพัฒนาที่ดิน พบว่า ที่ดินแปลงโฉนดที่ดิน 40410 (42655 และ 42654 แปลงแบ่งแยก) อยู่ในเขตเขา ส่วนใหญ่มีความลาดชันเกิน 35 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดิน ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ข้อ 5 ข้อ 14 (2) (3) และ (5) รายละเอียดปรากฎตามลิงค์ข่าวที่แนบท้ายหนังสือที่อ้างถึงฉบับลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566
ในกรณีเนื้อหาข่าวดังกล่าวข้างต้น ท่านได้นำเสนอเกิดคลาดเคลื่อนและไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง ก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนและเสียหายต่อชื่อเสียงของ นาง จินตนา ยืนนาน กับนาย สุริญญา ยืนนาน รวมถึง นาย เคี่ยม สมใจหมาย เป็นอย่างมาก
ปัจจุบันปรากฏว่าในคดีดังกล่าวนี้ ศาลแพ่ง ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 โดยได้มี พิพากษายกคำร้องและคืนทรัพย์สินทั้งหมดทุกรายการให้กับบุคคลที่ปรากฏในข่าวของท่าน และไม่ปรากฎว่าบุคคลตามเนื้อข่าวคือนาง จินตนา ยืนนาน กับนาย สุริญญา ยืนนาน รวมถึง นาย เคี่ยม สมใจหมายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดแต่อย่างใด รายละเอียดปรากฎตามสำเนาคำพิพากษาที่แนบมาท้าย 2
ซึ่งมีรายละเอียดตามคำพิพากษาดังต่อไปนี้
ประเด็นที่ 1 การออกโฉดที่ดิน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมโดยการใช้ ยึดถือหรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือกระบวนการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันมีลักษณะเป็นการค้าอันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (5) และ 15 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หรือไม่ ผู้ร้องมีนายจิรวัฒน์ ศิริจันทร์ นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นพยานเบิกความว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้รับรายงานจากตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่กรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำคามผิดของผู้คัดค้านที่ 1 กับพวก
ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ชุดตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของราษฎรที่ได้รับความเดือนร้อนในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาค 4 แจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบ่อผุด จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อดำเนินคดีแก่ผู้คัดค้านที่ 1 กับพวก เกี่ยวกับปัญหาการออกเอกสารสิทธิบนพื้นที่เขาและทะเล บริเวณพื้นที่เขาหมาแหงนตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี สำหรับความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ พนักงานสอบสวนได้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อพิจารณาแล้ว แต่เนื่องจาก เรื่องที่กล่าวหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดิน สิ่งแวดล้อม หรือประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ทำความเห็นเสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อพิจารณาส่งเรื่องให้สำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
สำหรับนายเจริญ จันทร์ปาน เคยถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วว่า ขณะนายเจริญดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย มีพฤติการณ์ในการรีบเร่งลงลายมือชื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) โดยไม่ได้ตรวจสอบจำนวนเนื้อที่ทำประโยชน์ในที่ดินให้ถูกกต้องตรงต่อความเป็นจริงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ส่วนผู้คัดค้านสองนำสืบว่า เมื่อปี 2545 ผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อที่ดินตามหนังสือแจ้งการครอบครอง(ส.ค 1) เลขที่ 311 มาจากนายเคี่ยม สมใจหมาย ซึ่งนายเคี่ยมได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวมาก่อนโดยนายเคี่ยมยืนยันว่าไม่เป็นที่ป่าไม้หรือที่สงวนหวงห้าม ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้ร่วมกระทำความผิดในการก้นสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 ได้นำหนังสือแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) เลขที่ 311 ไปขอออกโฉนดที่ดินต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย เจ้าหน้าที่ ได้รับคำร้อง ส่งฝ่ายรังวัดดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับแล้วจึงได้ออกโฉนดที่ดิน เลขที่40410ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้ร่วมกระทำความผิดกับนายเจริญ ในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก) โดยไม่ชอบ
ทั้งกรณีดังกล่าวเป็นที่ดินแปลงอื่นไม่เกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ 40410 นอกจากนี้ผู้คัดค้านทั้งสองมีนายเคี่ยมและนายใจ สมใจหมาย มาเบิกความสนับสนุนได้ความทำนองเดียวกันว่า นางเลีย สมใจหมาย เป็นผู้แจ้งการครอบครองที่ดินตามหนังสือแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) เลขที่ 311 นายเคี่ยมเป็นบุตรของนางเลียและเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนางพร้อม โดยมีนางเลียมีที่ดินตามหนังสือแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) เลขที่ 311 ประมาณ 70 กว่าไร่ แบ่งให้บุตรทุกคนครอบครองทำประโยชน์ นายเคี่ยมเบิกเพิ่มเติมว่านางเลียได้แบ่งที่ดินให้ตนครอบครองโดยทำสวนมะพร้าวประมาณ 20 ไร่ และนายเคี่ยมได้แบ่งซื้อที่ดินจากนางพร้อม อีกบางส่วนแล้วครอบครองที่ดินเรื่อยมาจนปี 2545 จึงเสนอขายให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสอง โดยผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อไปในราคา 1,000,000 บาท
ต่อมาเมื่อผู้คัดค้านที่ 1 นำหนังสือแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) เลขที่ 311 ไปขอออกโฉนดที่ดิน นายเคี่ยมได้ไปยืนยันแนวเขตกับเจ้าพนักงานที่ดินตามแนวเขตที่ได้ครอบครองทำประโยชน์และได้ขายให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และยืนยันว่าผู้คัดค้านที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินบางส่วนตามหนังสือแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 311 มิได้ออกซ้ำหรือใช้หนังสือ แจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) เลขที่ 311 จากที่ดินแปลงอื่น และนายประเสริฐ พละศึก รับราชการสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาเกาะสมุย เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อปี 2562
ขณะพยานเป็นหัวหน้าฝ่ายทะเบียนได้รับมอบหมายจาก นายจงกิต สุวราช เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานีสาขาพระแสง รักษาการในตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุยให้เป็นผู้ตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 40410 ซึ่งพยานตรวจพบว่าระวางข้างเคียงสอดรับกับหลักฐานโดยพยานได้ทำรายงานข้อเท็จจริงเสนอผู้มีอำนาจตามลำดับชั้นตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย ค.33 ถ้าหากมีการนำหนังสือแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) ไปขอออกโฉนดที่ดินเพียงบางส่วน ที่ดินส่วนที่เหลือสามารถนำไปขอออกโฉนดที่ดินได้ และที่ดินโฉนดเลขที่ 40410 ตั้งอยู่คนละตำแหน่งกับที่ดินโฉนดเลขที่ 24837 ของนายพนธ์
พยานไม่เคยถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินไม่ชอบ เห็นว่า ความผิดมูลฐานเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือหรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือกระบวนการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการค้านั้น ได้ความจากพยานหลักฐานของผู้ร้องว่าการพิจารณาความผิดดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานีฉบับลงวันที่ 20 เมษายน 2565 เอกสารหมาย ร.16
ทั้งได้ความจากทางนำสืบของผู้คัดค้านทั้งสองว่าผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อที่ดินมาจากนายเคี่ยมซึ่งได้มีการทำประโยชน์โดยทำเป็นสวนมะพร้าวมาก่อนแล้วจึงครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินต่อมา ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้สมรู้ร่วมคิดในการก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า ดังนั้นเมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติยังไม่มีมติผู้คัดค้านทั้งสองกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ โดยการใช้ ยึดถือหรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือแสวงหา ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งสองถูกแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานดังกล่าว
จึงยังถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านทั้งสองได้กระทำความผิดมูลฐาน ข้อหาเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติโดยการใช้ยึดถือหรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ 2484 มาตรา 55 ส่วนความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเกี่ยวกับการนำสำเนาหนังสือแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) เลขที่ 311ไปดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินเลขที่ 40410
แม้โจทก์มีพันโทดุสิต เกสรแก้ว มาเบิกความว่า พยานได้ร่วมกับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการ สอบส่วนกลางตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีกลุ่มนายทุนผู้มีอิทธิพลร่วมกับข้าราชการบางรายนำเอกสารหนังสือแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) ที่มีการนำไปออกโฉนดที่ดินเต็มพื้นที่แล้วนำกลับมาเพื่อใช้ออกโฉนดที่ดินในที่ดินแปลงใหม่ แต่พันโทดุสิต เบิกความตอบทนายผู้คัดค้านทั้งสอง ถามค้านว่าในการตรวจสอบของพยานเป็นการตรวจสอบจากสารระบบของสำนักงานที่ดิน โดยขอผังระวางทั้งหมดตรวจสอบเทียบกับระหว่างในสารบบต่างๆ ว่าสอดคล้องตรงกันหรือไม่ และพยานเข้าไปร่วมตรวจสอบกับชุดสืบสวนก่อนที่จะมีการดำเนินคดี แต่ภายหลังที่มีการดำเนินคดีแล้ว พยานไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอีก จึงเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเบื้องต้น
ทั้งได้ความจาก นายจิรวัฒน์พยานผู้ร้องเบิกความว่าปัจจุบันยังไม่ได้มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว เนื่องจากอยู่ระหว่างกรมที่ดิน ตั้งคณะกรรมการเพื่อจะดำเนินการเพิ่มถอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 ซึ่งคณะกรรมการได้รายงานผลไปยังกรมที่ดินแล้วแต่กรมที่ดินเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอจึงมีคำสั่งให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเพิ่มตามสำเนาหนังสือกรมที่ดิน ฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม2565 เอกสาร หมาย ร.17 ทั้งได้ความจากผู้คัดค้านทั้งสองนำสืบต่อสู้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 คัดสำเนาหนังสือแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) เลขที่ 311 ไปดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินและเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบหลักฐานต่างๆครบถ้วนถูกต้องตามระเบียบแล้วจึงออกโฉนดให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ส่วนที่ดินแปลงที่นายพนธ์ได้นำหนังสือแจ้งการครอบครอง( ส.ค. 1) เลขที่ 311 ไปขอออกเป็นโฉนดที่ดิน เลขที่ 24837 และเลขที่ 24142 เนื้อที่ประมาณ 13ไร่เศษเป็นการขอออกโฉนดที่ดินบางส่วนของที่ดินตามหลักฐานหนังสือแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 311
นอกจากนี้ ผู้คัดค้านทั้งสองมีนายประเสริฐ หัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย ผู้ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบสารระบบที่ดิน โฉนดเลขที่ 40410 ในภายหลังก็พบว่าระหว่างข้างเคียงสอดรับกับหลักฐาน ตลอดจนรูปที่ดินและแนวเขตที่ดินสอดรับกับผู้ครอบครอง โดยในการขอออกโฉนดดังกล่าวผู้ขอและเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนครบถ้วน ตามสำเนาหนังสือ เอกสารหมาย ค.33 แผ่นที่ 2 ข้อ 4
ซึ่งนายประเสริฐ เป็นเจ้าพนักงาน ที่ได้รับมอบหมาย ให้ตรวจสอบการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 40410 ภายหลังเกิดเหตุถือว่าเป็นพยานคนกลาง คำเบิกความ จึงมีน้ำหนักให้รับฟัง ประกอบกับเมื่อพิจารณาสำเนาหนังสือ กรมที่ดิน เอกสารหมาย ร.17 หน้า 2 ตอนท้ายระบุว่า ยังไม่ได้มีคำสั่งเพิกถอนโฉนดฉบับดังกล่าวรวมทั้งยังไม่ได้ดำเนินการทางวินัย หรือดำเนินการเกี่ยวกับความรับผิดทางแพ่งหรือมีการร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กับการออกโฉนดที่ดินดังกล่าว นอกจากนี้นายจีรวัฒน์ พยานผู้ร้องยังเบิกความเจือสมพยานผู้คัดค้านปากนายประเสริฐว่าในชั้นตรวจสอบทรัพย์สิน ของนายโชคดีนายชัยสิทธิ์ และนายประวิทย์
ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบุคคลทั้งสามได้ปฏิบัติงานไปตามอำนาจหน้าที่ปกติ ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 และได้เพิกถอนการอายัดทรัพย์สินของบุคคลทั้งสามแล้ว แสดงว่าจากการตรวจสอบยังไม่ปรากฏหลักฐาน ว่าบุคคลทั้งสามดังกล่าวได้ร่วมกระทำความผิดกับผู้คัดค้านทั้งสอง และไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งสองกับพวกได้ถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดเกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดิน เลขที่4010
สำหรับนายเจริญ ซึ่งถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษาลงโทษจำคุกก็เป็นเหตุการณ์ ในขณะที่นายเจริญดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) ให้แก่ผู้อื่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการออกโฉนดที่ดิน เลขที่ 40410 ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่อาจสรุปได้ว่านายเจริญร่วมกับผู้คัดค้านทั้ง 2 และพวกออกโฉนดที่ดินเลขที่ 40410โดยไม่ชอบ พยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านทั้งสองนำสืบมามีน้ำหนักกว่าพยานหลักฐานของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านทั้งสองร่วมกับพวกกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการอันเป็นความผิดมูลฐาน
ประเด็นที่ 2. คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า ทรัพย์สินตามบัญชี ทรัพย์สินส่งให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเอกสารหมาย ร.10 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐานหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ เมื่อศาลทำการไต่สวนคำร้องของพนักงานอัยการตามมาตรา 49 แล้ว หากศาลเชื่อว่า ทรัพย์สินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และคำร้องของผู้ซึ่งอ้างว่า เป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือ ผู้รับโอนทรัพย์สินตามมาตรา 50 วรรคหนึ่ง ฟังไม่ขึ้น ให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน” และวรรคสาม บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ หากผู้อ้างว่าเป็นเจ้าของหรือ ผู้รับโอน ทรัพย์สิน ตามมาตรา 50 วรรค 1 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิด ความผิดฐานฟอกเงินมาก่อน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้รับผลมาโดยไม่สุจริตแล้วแต่กรณี” เมื่อข้อเท็จจริงเบื้องต้นในคดีนี้ยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านทั้งสองกับพวกร่วมกันกระทำความผิดมูลฐาน ตามที่ศาลได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว กรณีจึงไม่อาจใช้ข้อสันนิษฐาน ตามมาตรา 51 วรรค 3 ว่าทรัพย์สิน ตามบัญชีทรัพย์สิน ส่งให้พนักงานอัยการ ยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเอกสารหมาย ร.10 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
ผู้ร้องจึงมีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความว่าทรัพย์สินที่ยึดไว้ดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดซึ่งปัญหานี้ผู้คัดค้านทั้งสองนำสืบว่าผู้คัดค้านทั้งสองประกอบธุรกิจเปิดห้างสรรพสินค้า ชื่อเซฟเวอร์มาร์ท ที่เกาะสมุย ตั้งแต่ปี พ.ศ 2537 ตามสำเนาทะเบียนพาณิชย์เอกสารหมาย ค.30มีรายได้เฉพาะช่วงเทศกาลก่อนมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 วันละกว่า 800,000 บาท ส่วนเงินที่นำมาซื้อห้องชุดเลขที่ 292/781 และเลขที่ 292/782 อาคารชุดเดอะ นิช โมโน รัชวิภา เป็นเงินที่กู้มาจาก ธนาคารธนชาตจำกัด(มหาชน) ผ่อนชำระคืนภายในกำหนด 10 ปี ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 ได้ไปกู้ยืมเงิน จากธนาคารกสิกรไทยจำกัด(มหาชน)
จึงได้นำไปปิดบัญชีสินเชื่อค่าห้องชุดทั้งสองห้องก่อนกำหนดตามสำเนาสัญญากู้ เอกสารหมาย ค. 21 และค.24 สำหรับเงินในบัญชีเงินฝาก ธนาคารของผู้คัดค้านทั้งสองได้มาจากการประกอบธุรกิจโดยสุจริตรวมทั้งเงินที่ผู้คัดค้านทั้งสองกู้ยืมและเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารหลายแห่งเพื่อนำมาใช้เป็นเงินหมุนเวียน ในระบบธุรกิจ รวมถึงผลกำไรจากการประกอบธุรกิจหลายอย่าง ของผู้คัดค้านทั้งสองส่วนผู้ร้อง นำสืบอ้างเพียงว่าห้องชุดทั้งสองห้องของผู้คัดค้านที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อมาโดยใช้สินเชื่อ จากธนาคารธนชาต จำกัด(มหาชน)
ผู้คัดค้านที่ 1 ผ่อนชำระและปิดบัญชีภายหลังผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติการณ์กระทำความผิด ส่วนเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้แสดงถึงที่มาว่ามีที่มาอย่างไรและ ผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติกรรมการโอนเงินและรับเงินตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม2549 ถึงวันที่ 2 มีนาคม 2564 ในช่วงที่มีพฤติการณ์เกี่ยวกับการกระทำความผิด เป็นเงินจำนวนมาก โดยผู้ร้องไม่ได้นำสืบให้ได้ความว่า ทรัพย์สินที่ยึดไว้ ทั้ง 10 รายการดังกล่าว ผู้คัดค้านทั้งสองได้มาจากการกระทำความผิด หรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐานอย่างไร ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าทรัพย์สินตามบัญชีทรัพย์สิน ส่งให้พนักงานอัยการ ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เอกสารหมาย ร.10 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง กับการกระทำความผิดมูลฐาน อันสมควรมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามคำขอของผู้ร้อง
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องและให้คืนทรัพย์สินรวม 10 รายการ ตามบัญชีทรัพย์สิน ส่งให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเอกสารหมาย ร.10 พร้อมดอกผลแก่ผู้คัดค้านทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
กล่าวโดยสรุปในเนื้อหาคำพิพากษานั้นแสดงให้เห็นว่า นางจินตนา ยืนนาน นายสุริญญา ยืนนาน และนายเคี่ยม สมใจหมาย สามารถชี้แจงรายละเอียดที่มาของทรัพย์สินได้ทั้งหมด และสามารถนำสืบถึงที่มาแห่งการออกโฉนดที่ดินว่าได้ดำเนินการขั้นตอนทางกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานรัฐทุกประการ มิใช่ผู้กระทำความผิดตามที่ท่านได้ลงในเนื้อข่าวแต่อย่างใด
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เพื่อความเป็นธรรมแก่นางจินตนา ยืนนาน นายสุริญญา ยืนนาน และนายเคี่ยม สมใจหมาย ขออนุเคราะห์ท่านซึ่งเป็นสำนักข่าวชื่อดัง ได้โปรดแก้ไขข่าวดังกล่าว ว่านางจินตนา ยืนนาน นายสุริญญา ยืนนาน และนายเคี่ยม สมใจหมาย ไม่ได้เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดกับคดีดังกล่าวตามคำพิพากษาที่ได้แนบมาท้ายนี้ด้วย
คำสั่ง ฟ151-2565 จินตนา ยืนนาน .pdf - Google ไดรฟ์
อนึ่งเกี่ยวกับรายงานข่าว มติที่ประชุม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายเจริญ จันทร์ปาน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย กับพวก ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 40410 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมิชอบ มีที่มาจากข่าวประชาสัมพันธ์ของสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งสำนักข่าวอิศรา พร้อมเปิดพื้นที่ให้ผู้เกี่ยวข้องได้ใช้สิทธิชี้แจงข้อเท็จจริงอีกด้านอย่างเต็มที่
ขณะที่ผลการชี้มูลคดีของ ป.ป.ช.ยังไม่สิ้นสุด ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาตัดสิน ผู้ถูกกล่าวหาทุกรายยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ และมีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลได้อีก