"...ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 จึงมิใช่กรณีที่ศาลปกครองรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่ อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญที่ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 จึงฟังไม่ขึ้น..."
กรณี ร้านอาหาร ‘In Love (อินเลิฟ)’ บริเวณท่าเรือเทเวศร์ ถูกร้องเรียนก่อสร้างรุกล้ำแนวแม่น้ำเจ้าพระยา มีการทิ้งสิ่งปฏิกูลลงแม่น้ำเจ้าพระยา และส่งเสียงรบกวน ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ส่งผลทำให้กรมเจ้าท่ามีคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำดังกล่าว อันนำมาซึ่งข้อพิพาทเรื่องการบังคับใช้กฎหมายระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและเอกชน ที่นำไปสู่การพิจารณาตัดสินคดีในชั้นศาล นั้น
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข้อมูลเชิงลึกไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2565 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ ยืนตามศาลปกครองชั้นต้น ว่าการออกคำสั่งรื้อร้านอาหารที่ล่วงล้ำลำน้ำดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายแล้ว สั่งรื้อร้านอาหารที่ล่วงล้ำลำน้ำดังกล่าว ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หากเจ้าของร้าน ไม่รื้อถอนภายในกำหนด ให้ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ เป็นผู้ดำเนินการให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว โดยให้เจ้าของร้าน เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรื้อถอนทั้งหมด
ถือเป็นการปิดฉากปัญหาข้อพิพากษาเรื่องนี้เป็นทางการ
อย่างไรก็ดี สาธารณชนอาจจะยังไม่ทราบว่า เกี่ยวกับคำพิพากษาเรื่องนี้ เจ้าของร้านอาหารอินเลิฟ ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ แต่ศาลปกครองสูงสุดไม่รับคำร้องขอพิจารณาใหม่
โดยเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2566 ศาลปกครองชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ 1317/2566 มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำขอพิจารณาคดีใหม่ และไม่รับคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคำร้องขอให้ศาลยกคดีปกครองขึ้นพิจารณาใหม่ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ไว้พิจารณ
สำนักข่าวอิศรา เรียบเรียงคำพิพากาษาศาลปกครองสูงสุด ที่พิพากษาไม่รับคำขอพิจารณาใหม่ และยืนตามศาลปกครองชั้นต้นดังกล่าว มานำเสนอ ณ ที่นี้
คำร้องที่ 844/2566
คำสั่งที่ 1317/2566 ลงวันที่ 30 ส.ค.2566
ผู้ฟ้องคดี
นางสุวัฒนา อนิรุทธเทวา ที่ 1
พลเอก เฟื่องเฉลย อนิรุทธเทวา ที่ 2
บริษัท ฮอร์สแลนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ที่ 3
ผู้ถูกฟ้องคดี
กรมเจ้าท่า ที่ 1
อธิบดีกรมเจ้าท่า ที่ 2
ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ที่ 3
กระทรวงคมนาคม ที่ 4
เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด (คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำขอพิจารณาคดีใหม่)
@ที่มาการยื่นคำร้องอุทธรณ์
ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ในคดีหมายเลขดำที่พม.13/2566 หมายเลขแดงที่ พม.26/2566 ของศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองกลาง) อธิบดีศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้รวมคดีหมายเลขดำที่ 190/2559 คดีหมายเลขดำที่ 181/2559 และคดีหมายเลขดำที่ 192/2559 เข้าด้วยกัน แล้วพิจารณาพิพากษารวมกันไป โดยให้คดีหมายเลขดำที่ 190/2559 เป็นสำนวนคดีหลัก และให้เรียกผู้ฟ้องคดีในคดีหมายเลขดำที่ 190/2559 เป็นผู้ฟ้องคดีที่ 1 ผู้ฟ้องคดีในคดีหมายเลขดำที่ 191/2559 เป็นผู้ฟ้องคดีที่ 2 ผู้ฟ้องคดีในคดีหมายเลขดำที่ 192/2559 เป็นผู้ฟ้องคดีที่ 3
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นนิติบุคคล ประเภทบริษัทจำกัด มีผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนผู้ฟ้องคดีที่ 3 ตามกฎหมาย และเป็นภรรยาของพันเอก เพื่องวิชชุ อนิรุทธเทวา ซึ่งเป็นบุตรของผู้ฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารบ้านเลขที่ 2 และบ้านเลขที่ 2/1 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดสามพระยาเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ที่ปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 7650 และโฉนดที่ดินเลขที่ 14729 ตำบลวัดสามพระยา (บางขุนพรหม) อำเภอพระนคร (ดุสิต) กรุงเทพมหานคร ซึ่งเดิมคุณหญิงเฉลา อนิรุทธเทวา มารดาของผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเจ้าของ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่ในอาคารบ้านเลขที่ 2/1 รวม 2 ชั้น กับผู้ฟ้องคดีที่ 2 เพื่อประกอบกิจการเป็นร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม เดิมชื่อร้านช้อนเงินต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นร้านอินเลิฟ และอยู่อาศัยมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งบ้านดังกล่าวแยกมาจากบ้านเลขที่ 2 ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 7650 ที่ได้จดทะเบียนแบ่งแยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ 14729 โดยบ้านทั้งสองหลังปลูกสร้างมาตั้งแต่ในสมัยรัซกาลที่ 6
ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มีหนังสือสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ที่ 0306.3/สด.50 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2558 แจ้งผู้จัดการ เจ้าของ หรือผู้ครอบครองร้านอาหารอินเลิฟว่าสำนักราชเลขาธิการและสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือแจ้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ว่า นายติรวัฒน์ สุจริตกุล ผู้อาศัยอยู่ใกล้เคียงกับร้านอินเลิฟบริเวณท่าเรือเทเวศร์ร้องเรียนว่า ร้านอาหารตังกล่าวก่อสร้างรกล้ำลำน้ำแนวแม่น้ำเจ้าพระยา ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำและส่งเสียงดังรบกวนทำให้นายติรวัฒน์ได้รับความเดือดร้อน โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มีหนังสือเชิญผู้จัดการเจ้าของ หรือผู้ครอบครองร้านอาหารอินเลิฟมาพบเพื่อตรวจสอบเอกสารกรรมสิทธิ์ของร้านอาหารดังกล่าว จำนวนสองครั้ง แต่ผู้จัดการ เจ้าของ หรือผู้ครอบครองร้านอินเลิฟยังมิได้มาพบ โดยเบื้องต้นได้ดำเนินการตรวจสอบเอกสารการขออนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
พบว่า บริเวณดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีที่ 2 เคยขออนุญาตทำสิ่งล่วงล้ำลำน้ำตามใบอนุญาตเลขที่ 64/2533 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2533 เพื่อซ่อมแซมบ้านหน้าโฉนดที่ดินเลขที่ 7650 แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ขนาด 9.50 x 10.50 เมตร แต่ปัจจุบันร้านอินเลิฟมีการปรับปรุงซ่อมแซมจนมีขนาด 20.8. x 30 เมตร โดยมิได้รับอนุญาตจากถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 117 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14 พ.ศ. 2535) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จึงมีคำสั่งตามหนังสือสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำที่ 0306.3/สด.50 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2558 ให้ผู้จัดการ เจ้าของ หรือผู้ครอบครองร้านอาหารอินเลิฟ ดำเนินการรื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำดังกล่าว ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว
@คำฟ้องของผู้ฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเห็นว่า เดิมบ้านเลขที่ 2 ปลูกสร้างบนที่ดินซึ่งแบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงใหญ่ มีคุณหญิงเฉลา อนิรุทธเทวา เป็นเจ้าของที่ดินและปลูกสร้างบ้านดังกล่าว และได้ทำพินัยกรรมยกโฉนดที่ดินเลขที่ 7650 (201) ที่แบ่งแยกมาจากโฉนดที่ดินแปลงใหญ่ให้กับนายติรวัฒน์ แต่การครอบครองบ้านเลขที่ 2 ยังคงเป็นของผู้ฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเจ้าบ้านและผู้ครอบครอง ส่วนบ้านเลขที่ 2/1 เดิมบ้านดังกล่าวmมีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น มีหลังคา ปลูกสร้างไว้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนไม่ว่าจะเป็นระดับเจ้านายหรือใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ และมีโรงจอดเรือของผู้มาเยือน การก่อสร้างจึงหันหน้าอาคารตลอดจนบริเวณชานเรือนที่ใช้รับแขกออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ในบางปีน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับเพิ่มสูงขึ้นทำให้อาคารดังกล่าวชำรุด ในการขออนุญาตปลูกสร้างบ้านเลขที่ 2 และบ้านเลขที่ 2/1 ล้ำลำน้ำ และการขออนุญาตสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมเข้าไปในที่ดินของคุณหญิงเฉลานั้น
ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ได้รับมอบหมายจากคุณหญิงเฉลา โดยยื่นคำขอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งก่อนปี พ.ศ. 2514 อาจเป็นการขออนุญาตโดยคุณหญิงเฉลาเอง แต่เนื่องจากเป็นการจดทะเบียนในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงทำให้การจัดเก็บเอกสารและการหาเอกสารดังกล่าวทำได้ยาก แต่สามารถพิสูจน์จากสิ่งก่อสร้าง ตำหนักน้ำที่อยู่ข้างเคียงกับบ้านเลขที่ 2 และบ้านเลขที่ 2/1 ที่ก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำเช่นเดียวกันได้ โดยจะพบว่าบ้านเลขที่ดังกล่าวทั้งสองหลังได้ดำเนินการโดยได้รับอนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มาโดยตลอด ไม่ต่ำกว่า 50 ปี
ในระหว่าง 30 ปี มานี้ สิ่งก่อสร้างและตลิ่งถูกน้ำกัดเซาะที่ดินบางส่วนหายไปมากกว่า 50 เมตร ซึ่งทำให้ดูเหมือนอาคารบ้านเลขที่ 2 และบ้านเลขที่ 2/1 ปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำตลอดแนวความยาวของอาคาร แต่หากมีการตรวจสอบแนวเขตที่ดินจะพบว่าอาคารดังกล่าวทั้งสองหลัง มีส่วนรุกล้ำลำน้ำไม่เกินไปกว่าที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2ได้เคยออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 และผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นผู้ขออนุญาตและได้รับอนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ให้ซ่อมแซมอาคารมาโดยตลอด ดังนี้
ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2514 ได้รับอนุญาตให้ซ่อมเขื่อนคอนกรีตตามใบอนุญาตเลขที่ 2498/2514 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2514
ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2526 ได้รับอนุญาตให้ซ่อมแชมบ้านตามใบอนุญาตเลขที่ 17/2526 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2526
ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ. 2533 ได้รับอนุญาตให้ช่อมแชมบ้านตามใบอนุญาตเลขที่ 64/2533 ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2533
ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ. 2539 ได้รับอนุญาตให้ช่อมแซมเสาพระตำหนัก สะพานทางเดิน สะพานข้างบ้านพัก (จุดที่ 1-4) ตามหนังสือกรมเจ้าท่า ที่ คค 0505/003173 ลงวันที่ 30 เมษายน 2539
และเมื่อปี พ.ศ. 2554 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ทำให้อาคารเสียหายมากจนต้องทำการซ่อมแซมมากกว่าปกติ ผู้ฟ้องคดีทั้งสามโดยผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 7 กันยายน 2558 อุทธรณ์ดำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ตามหนังสือกรมเจ้าท่า ที่ คค 0310.5/4490 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 ผู้ฟองคดีทั้งสามได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 และเห็นว่าผู้ฟ้องคดีที่ 2 ได้รับอนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ให้ก่อสร้างอาคารดังกล่าวได้
และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ออกคำสั่งพิพาทโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้โต้แย้งชี้แจงหรือแสดงพยานหลักฐาน จึงเป็นการออกคำสั่งที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและไม่เป็นธรรมกับผู้พ้องคดีทั้งสาม และไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มอบอำนาจให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้มีอำนาจในการออกคำสั่งดังกล่าวได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จึงออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่ง ดังนี้
1. เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ตามหนังสือสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ที่ 0306.3/สด.50 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2558 เรื่อง ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ
2. เพิกถอนคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามหนังสือกรมเจ้าท่า ที่ คค 0310.5/4440 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 เรื่อง พิจารณายกอุทธรณ์ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ
3. เพิกถอนบรรดาคำสั่งใด ๆ ที่เป็นเหตุให้ผู้ฟัองคดีทั้งสามถูกจำกัดสิทธิหรือเสียปซึ่งความคุ้มครองอันเกิดจากคำสั่งหรือคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ให้การและฟ้องแย้งขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสามรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างล่วงล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 118 ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535
ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 และ ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ดำเนินการรื้อถอนอาคารตามหนังสือ ที่ 0306.3/สด.50 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2558 ตามฟ้องแย้ง ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หากผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ไม่รื้อถอนภายในกำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว โดยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรื้อถอนทั้งหมด
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุดซึ่งศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ในส่วนของผู้ฟ้องคดีที่ 2 ไว้พิจารณา เนื่องจากผู้ฟ้องคดีที่ 2 ได้ถึงแก่ความตายก่อนศาลมีคำพิพากษา ต่อมา ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ. 633-325/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 1106-1108/2565 ว่าการที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 และให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 2 ดำเนินการรื้อถอนอาคารตามหนังสือ ที่ 0306.3/สด.50 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2558 ตามฟ้องแย้ง ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หากผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ไม่รื้อถอนภายในกำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว โดยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรื้อถอนทั้งหมด นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
@ขอให้พิจารณาใหม่
ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 มีคำขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ ลงวันที่ 30 มกราคม 2566 โดยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงทำนองเดียวกับคำฟ้องและเพิ่มเติมว่า บ้านเลขที่ 2/1ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้าง ปรับปรุง และต่อเติมจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มาตั้งแต่สมัยของผู้ฟ้องคดีที่ 2 เรื่อยมา ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ไม่ได้เป็นผู้ที่ปลูกสร้าง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทราบดีแต่ยังมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟัองคดีที่ 3 รื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างล่วงล้ำแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เคยร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ต่อผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลบวรมงคล ในกรณีนี้มาแล้ว ต่อมา พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นจำเลยต่อศาลอาญา ในฐานความผิดร่วมกันปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำ ในน้ำ และใต้น้ำของแม่น้ำอันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ตามมาตรา 118 ประกอบ มาตรา 117 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด ศาลอาญาในคดีหมายเลขดำที่ อ 1999/2563 หมายเลขแดงที่ อ 1004/2565 มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอาญาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ปลูกสร้างอาคารร้านอาหารอินเลิฟคงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยทั้งสองครอบครองและใช้ประโยชน์จากอาคารร้านอาหารดังกล่าวหลังจากนั้น ศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดำที่ อ. 633-635/2562 หมายเลขแดงที่ อ. 1106-1108/2565 มีคำพิพากษายืน
ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์และคำพิพากษาในคดีอาญายังไม่มีอยู่ในสำนวนของศาลปกครองสูงสุดและถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่ปรากฎในคดีอาญา โดยพยานโจทก์เบิกความทำนองเดียวกันว่าไม่มีพยานหลักฐานใด ๆ แสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้ที่ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 2/1 รุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำเจ้าพระยา หากศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาและรับฟังพยานหลักฐานโจทก์จะทำให้ข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองสูงสุดรับฟังมานั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
จึงเป็นกรณีที่ศาลปกครองรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดและมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 จึงขอให้ศาลยกคดีนี้ขั้นพิจารณาใหม่และขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคำร้อง
@ความเห็นของศาลปกครองชั้นต้น
ศาลปกครองชั้นตันพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่อ้างว่า ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด ปรากฎว่าศาลอาญาในคดีหมายเลขดำที่ อ 1999/2563 คดีหมายเลขแดงที่ อ 1004/2565 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ บริษัทฮอร์สแลนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ที่ 1 นางสุวัฒนา อนิรุทธเทวา ที่ 6 จำเลย ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 ยกฟ้องโจทก์
โดยศาลอาญาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ปลูกสร้างอาคารร้านอาหารอินเลิฟ คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยทั้งสองครอบครองและใช้ประโยชน์จากอาคารร้านอาหารดังกล่าว หลังจากนั้น ศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดำที่ อ. 633-635/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 1106-1108/2565 มีคำพิพากษายืน การที่คำเบิกความของพยานโจทก์และคำพิพากษาในคดีอาญายังไม่มีอยู่ในสำนวนของศาลปกครองสูงสุดซึ่งถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่ ปรากฏในคดีอาญา โดยพยานโจทก์เบิกความทำนองเดียวกันว่า ไม่มีพยานหลักฐานใด ๆ แสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้ที่ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 2/1 รุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำเจ้าพระยา หากศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาและรับฟังพยานหลักฐานโจทก์จะทำให้ข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองสูงสุดรับฟังมานั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ซึ่งกรณีจะเป็นการที่ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่ อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 นั้น
จะต้องเป็นกรณีที่ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฎอยู่ในสำนวนคดีผิดพลาดไปจากข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนคดีอย่างมีนัยสำคัญอันจะมีผลทำให้คดีเปลี่ยนแปลงไป หรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ เมื่อคดีอาญาดังกล่าว เป็นเรื่องที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นจำเลยต่อศาลอาญา เพื่อขอให้ศาลอาญาลงโทษจำเลยตามมาตรา 117 และมาตรา 118 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456
และศาลอาญารับฟังว่า เจ้าพนักงานเข้าตรวจสอบพื้นที่พบว่ามีการปลูกสร้างร้านอาหารอินเลิฟล่วงล้ำลำน้ำโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าท่าตามกฎหมายแต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมายังรับฟังไมได้ว่าจำเลยทั้งสอง (ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟัองคดีที่ 3) เป็นผู้ปลูกสร้างอาคารร้านอาหารอินเลิฟ คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยทั้งสองครอบครองและใช้ประโยชน์จากอาคารร้านอาหารดังกล่าว ซึ่งการกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 117 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ผู้กระทำความผิดต้องเป็นผู้ปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใด ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ครอบครองหรือใช้ประโยชน์จากอาคารหรือสิ่งอื่นใดเท่านั้น จึงพิพากษายกฟ้อง อันเป็นเรื่องที่ศาลอาญาวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสอง (ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3) มิใช่ผู้กระทำผิดทางอาญาเท่านั้น และศาลอาญารับฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์จากอาคารร้านอาหารอินเลิฟ
ซึ่งในเรื่องนี้ ศาลปกครองสูงสุดก็ได้วินิจฉัยไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 1106-1108/2565 ว่า อาคารที่ตั้งร้านอาหารอินเลิฟได้ก่อสร้างต่อเติมล่วงล้ำลำแม่น้ำเจ้าพระยาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2ออกคำสั่งให้ผู้จัดการ เจ้าของ หรือผู้ครอบครองร้านอาหารอินเลิฟดำเนินการรื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำออกไปจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ซึ่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวมิได้ขัดหรือแย้งกับคำพิพากษาศาลอาญา เพราะล้วนรับฟังข้อเท็จจริงในทำนองเดียวกันว่ามีการก่อสร้างร้านอาหารอินเลิฟล่วงล้ำลำน้ำโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าท่าตามกฎหมาย และผู้ฟ้องคดีที่ 1 กับผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้ครอบครองร้านอาหารดังกล่าว
กรณีจึงไม่ใช่ศาลปกครองสูงสุดรับฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฎอยู่ในสำนวนคดีผิดพลาดไปจากข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนคดีอย่างมีนัยสำคัญอันจะมีผลทำให้คดีเปลี่ยนแปลงไป หรือผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 มีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ศาลจึงไม่อาจรับคำขอพิจารณาคดีใหม่ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ไว้พิจารณา และเมื่อศาลไม่อาจรับคำขอให้พิจารณาคดีไหม่ได้เสียแล้ว จึงไม่อาจรับคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคำขอพิจารณาใหม่ได้เช่นกัน
ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำขอพิจารณาคดีใหม่และไม่รับคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคำร้องขอให้ศาลยกคดีปกครองขึ้นพิจารณาใหม่ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ฉบับลงวันที่ 3 มกราคม 2566 ไว้พิจารณา
@ความเห็นของผู้ฟ้องในการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาล
ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหมไว้พิจารณาทำนองเดียวกับคำฟ้องและคำขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ ลงวันที่ 30 มกราคม 2566 และเพิ่มเติมว่า คำเบิกความของนายสมเกียรติ โกสีย์ไกรนิรมล ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 1999/2563 หมายเลขแดงที่ อ 1004/2565 ซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และเป็นพยานโจทก์ (พนักงานอัยการ) แตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองได้ดำเนินการไต่สวนหาข้อเท็จจริง เนื่องจากนายสมเกียรติเบิกความว่า ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่จะยืนยันว่าผู้ฟัองคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำลำน้ำ และมีอาคารเลขที่ 2/1 บางส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้เคยอนุญาตให้พลเอก เฟื่องเฉลย อนิรุทธเทวา (ผู้ฟ้องคดีที่ 2) ปลูกสร้างรุกล้ำทางน้ำเป็นเนื้อที่ประมาณ 9.5 x 10.50 เมตร มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533
ซึ่งในสำนวนคดีของศาลปกครองก็ปรากฎชัดว่ามีพื้นที่ของอาคารเลขที่ 2/1 จำนวนเนื้อที่ประมาณ 9.5 x 10.50 เมตร ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำทางน้ำแล้ว แต่ศาลปกครองกลับวินิจฉัยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 รื้ออาคารทั้งหมดเป็นพื้นที่ 20.80 x 30 เมตร (รวมถึงพื้นที่ 9.5 x 10.50 เมตร ที่เคยได้รับอนุญาต) ส่วนการที่ศาลปกครองชั้นตันวินิจฉัยว่า ในคดีอาญาเป็นกรณีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ต่อศาลอาญา ขอให้ลงโทษตามมาตรา 117 และ 118 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลอาญาวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 มิใช่เป็นผู้กระทำความผิดทางอาญาเท่านั้น
ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เห็นว่า ศาลปกครองชั้นต้นได้วินิจฉัยก้าวล่วงคดีของศาลอาญา ในทำนองที่ว่าการวินิจฉัยในทางอาญาไม่เกี่ยวข้องกับคดีปกครอง ซึ่งคำร้องขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 มุ่งเน้นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วจากคำเบิกความของนายสมเกียรติ มิได้มุ่งเน้นที่คำวินิจฉัยของศาลอาญาแต่อย่างใด ดังนั้น กรณีจึงเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่ และเป็นกรณีที่ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอันจะเป็นเหตุให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ ศาลปกครองชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยในส่วนที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 กล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถูกแทรกแซงจากสำนักพระราชวัง เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้รับหนังสือจากสำนักราชเลขาธิการ กรณีมีผู้ร้องเรียนว่าร้านอาหารอินเลิฟซึ่งตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือเทเวศร์ได้ก่อสร้างรุกล้ำแนวแม่น้ำเจ้าพระยา มีการทิ้งปฏิกูลลงแม่น้ำเจ้าพระยา และส่งเสียงดังรบกวน อันเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มอบอำนาจให้นายสมเกียรติไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจนครบาลบวรมงคล และนำหนังสือร้องเรียนของสำนักราชเลขาธิการไปอ้างต่อพนักงานสอบสวน เพื่อบันทึกข้อความเป็นรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีและรับเป็นคดีอาญาโดยที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มิได้นำเสนอเอกสารเข้ามาในการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นต้นแต่อย่างใด
แต่ใด้นำเสนอเข้ามาในภายหลังจากที่ศาลปกครองชั้นต้นได้ตัดสินไปแล้ว กรณีจึงเป็นพยานหลักฐานใหม่ เป็นเหตุให้ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยผิดพลาดคลาดเคลื่อนและขัดแย้งกับคำวินิจฉัยในคดีอาญาขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้กลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้รับคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ไว้พิจารณา
@ความเห็นศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ศาลมีอำนาจรับคำขอให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ไว้พิจารณา หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. 2542 มาตรา 75 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองเสร็จเด็ดขาดแล้ว คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนั้นอาจมีคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งขี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่ได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่ อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
(2) คู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหรือได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในกรมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา
(3) มีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม
(4) คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ทำขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใด และต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 กล่าวอ้างในคำขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ว่า คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ 633-635/2562 หมายเลขแดงที่ อ. 1106-1108/2565 เป็นกรณีที่ศาลปกครองรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เนื่องจากมิได้นำคำเบิกความนายสมเกียรติ โกสีย์ไกรนิรมล ซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และเป็นพยานของโจทก์ (พนักงานอัยการ) ในคดีอาญา หมายเลขดำที่ อ 1999/2563 หมายเลขแดงที่ อ 1004/2565 ที่ว่า ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่จะยืนยันว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำทางน้ำ และมีอาคารเลขที่ 2/1 บางส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้เคยอนุญาตให้พลเอก เฟื่องเฉลย อนิรุทธเทวา ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีที่ 2 ในคดีนี้ ปลูกสร้างรุกล้ำทางน้ำเป็นเนื้อที่ประมาณ 9.5 x 10.50 เมตร มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มาประกอบการวินิจฉัยคดี ซึ่งในสำนวนคดีของศาลปกครองก็ปรากฎชัดว่ามีพื้นที่ของอาคารเลขที่ 2/1 จำนวนเนื้อที่ประมาณ 9.5 x 10.50 เมตร ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ปลูกสร้างอาคารรกล้ำทางน้ำแล้ว แต่ตาลปกครองกลับวินิจฉัยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 รื้ออาคารทั้งหมดเป็นพื้นที่ 20.80 x 30 เมตร เห็นว่า กรณีที่ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดอันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ ฟังเป็นยุติ แล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ตามมาตรา 75วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 นั้นจะต้องเป็นกรณีที่ศาลรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนคดี หรือกรณีที่ศาลไม่ได้รับฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสำนวนคดีจากคำฟ้อง คำให้การ คำคัดค้านคำให้การ คำให้การเพิ่มเติม หรือรับฟังข้อเท็จจริงไม่ตรงตามความเป็นจริงที่ปรากฏตามพยานหลักฐานในสำนวนคดี
ส่วนกรณีที่มีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญจะต้องเป็นกรณีที่มีพยานหลักฐานอันอาจสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของคู่กรณี ซึ่งไม่ได้เสนอต่อศาลในระหว่างการแสวงหาช้อเท็จจริง แต่กลับปรากฏต่อศาลภายหลังที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีแล้ว
โดยคู่กรณีไม่อาจทราบถึงความมีอยู่ของพยานหลักฐานนั้น หรือมีเหตุจำเป็นอันทำให้ไม่อาจนำพยานหลักฐานนั้นมาแสดงต่อศาลในระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริงได้โดยต้องเป็นพยานหลักฐานที่มีผลทำให้ข้อเท็จจริงที่ ฟังเป็นยุติแล้วในคดีนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญและเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีโดยคู่กรณีหรือศาลไม่ทราบถึงความมีอยู่ของพยานหลักฐานนั้น ซึ่งมิใช่ความผิดของคู่กรณีเมื่อพิจารณาข้อกล่าวอ้างของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ข้างต้นแล้ว เห็นว่า มีลักษณะเป็นการโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานและการใช้ดุลพินิจของศาลในการพิจารณาคดี ซึ่งจากการตรวจสอบการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลปกครองขั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดพบว่า ศาลได้มีการเปิดโอกาสให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายชี้แจงและแสดงพยานหลักฐานตามหลักการไต่สวนแล้ว โดยปรากฎตามคำฟ้อง คำให้การ คำคัดค้านคำให้การ คำให้การเพิ่มเติม คำชี้แจงคำอุทธรณ์ และคำแก้อุทธรณ์
แต่การที่ศาลจะนำข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานของคู่กรณีที่ยื่นต่อศาลมาปรับกับข้อกฎหมายและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในการวินิจฉัยคดีเพียงใดนั้น ถือเป็นดุลพินิจของศาลในการพิจารณาคดี และแม้ว่าประเด็นที่ พิพาทในคดีปกครองกับคดีอาญาจะแตกต่างกัน กล่าวคือ ในคดีอาญา พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟัองคดีที่ 3 ในคดีนี้ โดยมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และ ผู้ฟ้องคดีที่ 3 กระทำความผิดตามตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 หรือไม่
ส่วนในคดีปกครองมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ตามหนังสือสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ที่ 0306.3/สด.50 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2558 เรื่องให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ และคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามหนังสือกรมเจ้าท่า ที่ คค 0310.5/4490 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 เรื่อง พิจารณายกอุทธรณ์ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในศาลอาญาและศาลปกครองรับฟังสอดคล้องตรงกันว่าอาคารเลขที่ 2/1 ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ซ่อมแชมอาคารจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นพื้นที่ขนาด 9.50 x 10.50 เมตร เท่านั้น
ส่วนพื้นที่อาคารที่เป็นร้านอาหารอินเลิฟที่อยู่นอกเหนือไปจากขนาดพื้นที่อาคารที่ได้รับอนุญาตดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีให้ทำการปลูกสร้างสิ่งถ่วงล้ำลำน้ำหรือซ่อมแซมอาคารแต่อย่างใด กรณีจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 ตามที่ผู้ถูกฟ้องทั้งสี่ฟ้องแย้งในคดีปกครอง อันเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ออกคำสั่งที่ 0306.3 สด.50 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2558 แจ้งผู้จัดการ เจ้าของ หรือผู้ครอบครองร้านอินเลิฟ โดยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะเป็นผู้ครอบครองอาคารพิพาทดำเนินการรื้อถอนอาคารดังกล่าว ประกอบกับคำเบิกความของนายสมเกียรติในคดีอาญามิได้มีผลเป็นการลบล้างหรือ เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดแล้วว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และฟ้องคดีที่ 3 ที่ได้มีส่วนร่วมกระทำความผิดโดยการครอบครองอาคารที่ล่วงล้ำลำน้ำโดยอนุญาตต้องเปลี่ยนเเปลงไปในสาระสำคัญ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยพระพุทธศักราช 2456 ซึ่งแก้ไขเพิ่มติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 แต่อย่างใด
ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 อ้างว่า ในสำนวนคดีของศาลปกครองก็ปรากฏชัดว่ามีพื้นที่ของอาคารเลขที่ 2/1 จำนวนเนื้อที่ประมาณ 9.5 x 10.50 เมตร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีที่ - ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำทางน้ำแล้ว แต่ศาลปกครองกลับวินิจฉัยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 รื้ออาคารทั้งหมดเป็นพื้นที่ 20.80 x 30 เมตร (รวมถึงพื้นที่ 9.5 x10.50 เมตร ที่เคยได้รับอนุญาต) นั้น เห็นว่า ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 รื้อถอนอาคารเลขที่ 2/1 เฉพาะในส่วนของร้านอาหารอินเลิฟที่มีพื้นที่ขนาด 20.80 x 30 เมตร เท่านั้น มิได้รวมถึงอาคารเลขที่ 2/1 ในส่วนของพื้นที่ขนาด 9.5 x10.50 เมตร ที่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 เคยได้รับอนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ให้ปลูกสร้างและซ่อมแซมแล้ว แต่อย่างใด อุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ฟ้องคดีที่ ๓ เข้าใจข้อเท็จจริง คลาดเคลื่อนไปจากที่ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้ว
ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 อุทธรณ์ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มิได้นำข้อเท็จจริงในส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถูกแทรกแซงจากสำนักพระราชวังตามหนังสือสำนักราชเลขาธิการ กรณีที่มีผู้ร้องเรียนว่าร้านอาหารอินเลิฟได้ก่อสร้างรกล้ำลำน้ำเจ้าพระยา จนกระทั่งนำไปสู่แจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจนครบาลบวรมงคล และนำหนังสือร้องเรียนของสำนักราชเลขาธิการไปอ้างต่อพนักงานสอบสวน เพื่อบันทึกลงบันทึกประจำวันและรับเป็นคดีอาญา เข้ามาในการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นต้นแต่อย่างใด แต่ได้นำเสนอเข้ามาในการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด จึงเป็นพยานหลักฐานใหม่ นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามข้ออ้างดังกล่าว
ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยแล้วว่า การออกคำสั่งของผู้ถูกฟัองคดีที่ 1 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ไม่ได้ถูกแทรกแซงหรือเกิดจากความเกรงกลัวจากหนังสือหรือบุคคลใด ๆ แต่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ก็ไม่ได้ถูกแทรกแซงกระบวนการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 เนื่องจากไม่มีส่วนในการออกคำสั่งที่พิพาทแต่อย่างใด อุทธรณ์ในส่วนนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ดังนั้น ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 จึงมิใช่กรณีที่ศาลปกครองรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่ อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญที่ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 จึงฟังไม่ขึ้น
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำขอพิจารณาคดีใหม่และไม่รับคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคำร้องขอให้ศาลยกคดีปกครองขึ้นพิจารณาใหม่ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ฉบับลงวันที่ 3 มกราคม 2566 ไว้พิจารณา นั้นศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย
จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
*********
จากบทสรุปคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ไม่รับคำขอพิจารณาใหม่ดังกล่าว ถือเป็นการตอกย้ำการปิดฉากคดีข้อพิพาทเรื่องการบังคับใช้กฎหมายระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและเอกชน กรณีร้าน'อินเลิฟ' รุกแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ยืดเยื้อมายาวนานหลายปี และน่าจะเป็นกรณีศึกษาสำคัญสำหรับภาคเอกชน ในการลงทุนทำธุรกิจประเภทนี้ ให้ระมัดระวังรอบคอบมากขึ้นต่อไปในอนาคตอีกหนึ่งกรณี
ดังที่เคยนำเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้
อ่านเรื่องประกอบ :
- สน.บวรฯ เรียกผู้กล่าวหาคดีร้าน'อินเลิฟ'รุกเจ้าพระยาสอบเพิ่ม-เตรียมวัดพื้นที่ขอโฉนด
- 'เจ้าท่า'แจ้งจับร้านดัง'อินเลิฟ'รุกเจ้าพระยา-เมียอดีตผู้สมัคร ส.ส.ปชป.เจ้าของ
- 'เจ้าท่า'สั่งรื้อใน 30 วัน!'อิน เลิฟ'ร้านอาหารดังรุกแม่น้ำเจ้าพระยา-เจ้าของยังไม่แจง
- แกะรอยโฉนดที่ดินร้านอาหาร'อินเลิฟ’ ก่อนกรมเจ้าท่า สั่งรื้อปมรุกล้ำเจ้าพระยา
- ชัด ๆ โฉนดที่ดินปมร้านอาหารดัง ‘อินเลิฟ’ รุก-ไม่รุกแม่น้ำเจ้าพระยา?