‘ชัยธวัช ตุลาธน’ อภิปรายขอรัฐสภาเลือก ‘พิธา’ หาคำตอบออกจากความขัดแย้งรอบ 20 ปี ขออย่าดึงสถาบันมาเป็นข้ออ้างในการเลือก เพราะเป็นการดึงมาเป็นคู่ขัดแย้ง ด้าน ส.ส.รวมไทยสวร้างชาติ อภิปรายย้ำจุดยืนไม่โหวตให้ เพราะมีจุดยืนแก้ 112
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ซึ่งมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม
เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 พรรคก้าวไกลที่เสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีและรวบรวมเสียงข้างมากได้ 312 เสียงจากพรรคการเมือง 8 พรรค นายพิธาก็ควรจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามครลองปกติ
แต่จากบรรยากาศช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา กลับทำให้เกิดคำถามในหัวใจประชาชนนับล้านว่า หากนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามผลการเลือกตั้ง แล้วจะมีการเลือกตั้งไปทำไม ตกลงอำนาจอธิปไตยของประเทศนี้เป็นของปวงชนชาวไทยตามที่ปรากฏและบัญญัติในรัฐธรรมนูญจริงๆหรือไม่ และมีประชาชนอยู่ตรงไหนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของเรา คำถามเหล่านี้สะท้อนและมีนัยยะกับสังคมไทย เป็นคำถามที่ดังขึ้นเรื่อยๆเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ผ่านการเลือกตั้ง 5 ครั้ง รัฐประหาร 2 ครั้ง ร่างรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ ผ่านการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร 1 ครั้ง ยุบพรรคการเมือง การชุมนุมของประชาชนและการปะทะบนท้องถนน มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิตนับร้อยนับพัน
เมื่อผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ สังคมไทยยังให้คำตอบที่ดีกับประชาชนไม่ได้ และหาคำตอบที่ยอมรับได้สักที ปัญหาาก็คือ ในฐานะ ส.ส. สมาชิกรัฐสภา และตัวแทนพรรคก้าวไกล การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาและการลงมติของรัฐสภาครั้งนี้จะเป็นการแสวงหาึคำตอบใหม่ของสังคมไทย หลายท่านอาจไม่เห็นด้วยกับพรรค กังวลใจกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คุ้นเคยและไม่รู้จัก ทั้งความกังวลที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐและการปกครอง หรือความพยายามให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นสถาบันหลักของชาติ เจตนาในการแก้ไขมาตรา 112 เป็นอย่างไร
ตนขอกล่าวไว้ว่า ไม่ว่าจะข้อเสนอใดๆของพรรค อยู่บนฐานความคิดสถาบันหลักของชาติหรือสถาบันการเมืองใดๆ จะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยความยินยอมพร้อมใจของประชาชน ไม่มีสถาบันใดอยู่ได้ด้วยการปราบ บังคับ จึงขอให้ทุกฝ่ายตั้งสติ มองไกล และเล็งเห็นให้ได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะรักษาสิ่งที่รักและหวงแหนให้มีพลวัต เราไม่เชื่อว่า สิ่งใดจะคงอยู่ด้วยการสถิตเหมือนเดิม แล้วจะมั่นคงสถาพร
ส่วนการโหวตให้นายพิธาเป็นการล้มล้างสถาบัน ไม่รักชาตินั้น ไม่ควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระบอประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทางเป็นประมุข เพราะสถาบันต้องอยู่เหนือการเมือง ถ้าต่างฝ่ายต่างดึงเอาลงมาพัวพันในความขัดแย้งทางการเมือง ก็จะเห็นปัญหาเหมือนที่ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เราต้องช่วยกันเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากความขัดแย้งทางการเมือง การเอาสถาบันมาปะทะกับผลการเลือกตั้งไม่สมควรอย่างยิ่งและใครจะรับผิดชอบสิ่งนี้
สุดท้าย อยากชวนสมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส.และส.ว.ลงมติให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะไม่ใช่ทุกคนรักนายพิธาหรือเห็นด้วยกับพรรคก้าวไกล แต่มันเป็นการลงมติเพื่อคืนความปกติให้รัฐสภาไทย เคารพประชาชน ให้โอกาสใหม่กับสังคมไทย เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการหาคำตอบแห่งยุคสมัยร่วมกัน ขออวยพรให้ประชาชนในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประชาธิปไตย คุ้มครองสมาชิกรัฐสภาที่จะตัดสินอย่างกล้าหาญตามมโนธรรมสำนึกและเจตจำนงที่แสดงออกเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566
@รวมไทยสร้างชาติ ลั่นไม่โหวตให้ เพราะแก้ 112
ด้านนายศาตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายในฐานะตัวแทนพรรคว่า อุดมการณืของพรรคจะปกป้องและดำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ จึงไม่สนับสนุนพรรคและนักการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะบ้านเมืองทุกวันนี้เดินไปข้างหน้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขมาตรานี้ ไม่จำเป็นต้องทำลายธรรมเนียมประเพณีไทยหรือต้นทุนทางวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่อดีต มากกว่านั้น สมาชิกก็ทราบดีว่า เห็นการขับเคลื่อนเดินสายพูดถึงประวัติศาสตร์ที่สร้างบาดแผลให้ชาติไทย ทำให้เกิดความสงสัยทั้งกามรแบ่งแยกดินแดง สิ่งนี้ทำให้สังคมไทยดีขึ้นหรือไม่ สร้างแต่ความแตกแยก แบ่งคนเป็นฝักฝ่าย รูปที่มีอยู่ทุกบ้านก็อยู่ในบ้านใครหลายคน โครงการในพระราชดำริที่ทำให้ไม่เสียชีวิตและทรัพย์สิน วันนี้ยังมีคนที่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ อย่าเหยียบย่ำหัวใจคนไทยไปมากกว่านี้
“ขอได้ไหมครับไม่แก้ 112 ขอได้ไหมฮะ ไปแก้ปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน ยังมีอีกร้อยแปดพันเก้าที่ยังเสนอแก้ไขกฎหมายให้กับพี่น้องประชาชนได้ ในการแก้ไขมาตรา 112 มีแต่สร้างความแตกแยก คุณบอกว่า 14 ล้านเสียงพร้อมลงถนน อีก 20 ล้านเสียง ก็พร้อมยอมตายถวายชีวิตเพื่อสถาบัน เพราะฉะนั้น ผมบอกและเรียนตามตรงว่าการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จะสร้างแต่รอยร้าวรอยแตกแยกให้กับประเทศไทยคนลงถนนบ้านเมืองจะอยู่ยังไงมีแต่พังพินาศชัยชนะบนซากปรักหักพังชอบกันเหรอครับ” นายศาสตรากล่าว
การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อย่ามาโทษใครทั้งสิ้น อย่ามาโทษส.ส. อย่ามาโทษกกต. หรือศาลรัฐธรรมนูญ อยู่ที่ตัวของนายพิธาเองที่ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ เพราะวันนี้กฎหมายเขียนชัดเจนว่า การจะเป็นนายกรัฐมนตรีจะเป็นส.ส.ห้ามถือหุ้นสื่อเขียนไว้ชัดเจนตั้งแต่ก่อนพรรคอนาคตใหม่จะตั้งขึ้นมาพอเขาบอกว่าให้ถอนร่างแก้ไข ก็ถอนได้แต่ทำไมไม่ถอนออกตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องมีการอภิปราย จะได้เลือกนายกคนที่ 30 กันเลย ดังนั้นไม่ต้องโทษใครทั้งสิ้น และวันนี้นายพิธาก็ต้องตอบสังคมให้ได้ เพราะวันหนึ่ง บอกว่ามาตรา 112 จะแก้ไข อีกวันหนึ่ง บอกว่าจะยกเลิก บางวันขึ้นเวทีติดสติ๊กเกอร์บอกว่าแก้ไขแล้วค่อยไปยกเลิก แล้วจะให้พวกตนคิดอย่างไร
“นักการเมืองที่ปากอย่างใจอย่างถามว่าประชาชนจะเชื่อได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่คุณต้องตอบ และผมเชื่อว่า ประชาชนก็ติดตามอยู่ โดยเฉพาะร่าง แก้ไขมาตรา 112 ร่างมาจนไม่เหลือความคุ้มครองอะไรเลย และไม่สอดคล้อง กับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ให้ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่สักการะผู้ใดจะละเมิดไม่ได้” ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว
นายศาสตรา อภิปรายย้ำว่า ตนเกิดมารุ่นราวคราวเดียวกับนายพี่พิธา 40 ปีไม่เคยโดนฟ้องมาตรา 112 เลย กฎหมายก็อยู่ในส่วนของกฎหมายไม่มีนิติสงครามมีแต่นิติรัฐทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ฉะนั้น วันนี้พรรคก้าวไกล มีการยื่นเสนอ มีนโยบายที่จะแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งขัดกับอุดมการณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเราเห็นว่า การแก้มาตรา 112 มีแต่สร้างความเกลียดชังและแตกแยกของคนในสังคมไทย และกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยในช่วงที่ประเทศชาติต้องการความรักความสามัคคี ดังนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติตัวแทนของประชาชนคนไทย ผู้ที่รักและเทิดทูนสถาบัน จึงไม่ขอโหวตสนับสนุน นายกคนที่ 30 ของประเทศไทยชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”
อ่านประกอบ