"...คนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ มักจะมาพบที่บ้าน และขอยืมพระเครื่องไปใส่ โดยอ้างว่าจะนำไปอวดเพื่อนๆ ที่เป็นเซียนพระ เพื่อให้ได้เป็นที่ยอมรับในวงการพระ และผู้ใหญ่ที่ชื่นชอบพระเครื่องเพื่อจะเป็นการสร้างความเชื่อถือ และจะเป็นประโยชน์ต่อไป เวลาไปติดต่องานต่างๆ รวมไปถึงการประสานงานเพื่อให้โครงการที่จะมีการผลักดันให้เกิดขึ้นในพื้นที่ด้วย..."
กรณีผู้รับเหมาในแวดวงธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำยางพาราเพื่อใช้ในงานก่อสร้างถนน เข้าร้องเรียนกับสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่า ถูกคนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายหนึ่ง ใช้ตำแหน่งหน้าที่เรียกรับเงินจำนวน 25 ล้านบาท เพื่อแลกเปลี่ยนในการประสานงานผลักดันเรื่องให้มีการยกเลิกออกใบรับรองมาตรฐานวัสดุน้ำยางพาราผสมสารเพิ่มของเอกชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีลักษณะผูกขาด เอกชนรายใดต้องการเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างถนนยางของรัฐบาลจะต้องซื้อน้ำยางพาราผสมสารฯ กับเอกชนกลุ่มนี้เท่านั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นไปโดยมิชอบไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์คู่มือปฏิบัติงาน ส่งผลให้บริษัทของตนไม่สามารถเข้าร่วมขายน้ำยางพาราผสมสารฯ แต่หลังจากนั้นไม่ความคืบหน้า และเมื่อทวงถามขอเงินคืนไม่ยอมคืนให้อ้างว่านำเงินส่งให้กับนักการเมืองใหญ่ในภาคอีสานไปหมดแล้ว
ขณะที่จากการสืบค้นประวัติของคนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ พบว่า เคยเป็นนักโทษถูกจำคุก ฐานความผิด ปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ ในช่วงปี 2551 พ้นโทษออกมาในช่วงปี 2559 ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีการเปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่หลายครั้ง และยังอ้างตำแหน่งทางวิชาการหลายตำแหน่งแบบผิดสังเกต และเข้ารับตำแหน่งเป็นข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง ติดตามทำงานให้นักการเมืองชื่อดังในภาคอีสาน และยังปรากฏชื่อเป็น ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะกรรมการวิสามัญ เข้าร่วมการอบรมหลักสูตรชื่อดังจำนวนมากด้วย นั้น
สำนักข่าวอิศรา เคยรายงานข่าวไปแล้วว่า พ.ต.ท.ชลิต ทิพย์ธำรง รองผกก.(สอบสวน) กก.1 บก.ป. ยืนยันว่า คดีนี้ ในเบื้องต้นทราบว่าผู้เสียหายกับผู้ต้องหาได้มีการตกลงคืนทรัพย์สินกันแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทางผู้เสียหายจึงเดินทางมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เมื่อปลายปี 2562 หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมหลักฐาน จนกระทั่งได้ออกหมายเรียกตัวผู้ต้องหามาแจ้งข้อกล่าวหาให้รับทราบ ซึ่งผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธพร้อมกับนำหลักฐานต่าง ๆ เข้าชี้แจงกับพนักงานสอบสวน
ต่อมา พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานของทั้งสองฝ่ายและตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง พบว่า คดีนี้มีความก้ำกึ่งในเรื่องของข้อเท็จจริงทางคดี โดยตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหามีการไปดำเนินการจริงตามที่ผู้เสียหายต้องการให้ดำเนินการ แต่กระทำไม่สำเร็จ และไม่ได้มีสัญญาการว่าจ้าง พนักงานสอบสวนชั่งน้ำหนักหลักฐานของทั้งสองฝั่งแล้ว จึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ไปยังอัยการศาลแขวง 1 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
"ขณะนี้สำนวนคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นอัยการ ยืนยันว่าคดีนี้ทำอย่างตรงไปตรงมาแม้ว่าจะเกี่ยวพันกับนักการเมือง แต่ก็ไม่มีผลกับการทำงานของกองปราบฯแต่อย่างใด" พ.ต.ท.ชลิต ระบุ
ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันเป็นทางการ ว่า อัยการได้มีคำสั่งฟ้องร้องคดีนี้ไปแล้วหรือไม่
- อ้างส่งเงินให้นักการเมือง! แฉอดีตคนสนิท รองปธ.สภาฯ เบี้ยวคืน 25 ล.แลกเคลียร์ปมสารถนนยาง (1)
- ไม่มีสัญญาจ้าง! กองปราบฯส่งสำนวน'สั่งไม่ฟ้อง'คนสนิทรองปธ.สภาฯ คดีเงิน 25 ล.ให้อัยการแล้ว (2)
- คุ้ยประวัติ 'คนสนิทรองปธ.สภาฯ' คดีเงิน 25 ล. จบ ป.โทเมืองนอก ก่อนเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม? (3)
ล่าสุด ดูเหมือนว่า ข้อกล่าวหาของคนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ จะยังไม่สิ้นสุด มีคดีความใหม่ เกี่ยวกับการ "ยักยอกทรัพย์" เข้ามาให้ต้องต่อสู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ เพิ่มอีก 1 คดี
โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้รับแจ้งเบาะแส ว่า ในช่วงเดือน ต.ค.2565 ที่ผ่านมา มีสุภาพสตรีรายหนึ่ง ที่เคยศึกษาในหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน สภ.บางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อให้ดำเนินคดีกับ คนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้
ในข้อหา "ยักยอกทรัพย์" จากการขอยืมทรัพย์สินพระเครื่องและสร้อยคอพิงค์โกล์ จำนวนกว่า 16 รายการ รวมมูลค่ากว่า 18 ล้านบาท แล้วไม่นำมาคืน
ซึ่งในรายการพระเครื่องจำนวนมากที่มีการให้ยืมไปดังกล่าว มีพระกริ่งเนื้อทองคำหลวงพ่อคูณ น้ำหนัก 51.23 กรัม มูค่ามากกว่า 4.3 ล้านบาท และกรอบเลี่ยมทอง มูลค่า 33,000 บาท รวมอยู่ด้วย
@ ภาพรายการพระเครื่องบางส่วนที่ผู้เสียหายกล่าวอ้างว่า คนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏร ยืมไปแล้วไม่คืน
ทั้งนี้ ในหนังสือแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางคล้าดังกล่าว ผู้เสียหายยังได้กล่าวอ้างเหตุผลในการให้ยืมพระเครื่องหลายรายการให้คนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ ว่า เกิดขึ้นหลังจากที่รู้จักและสนิทสนม กับคนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ ในช่วงหลังเข้าศึกษาในหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.)
คนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ มักจะมาพบที่บ้าน และขอยืมพระเครื่องไปใส่ โดยอ้างว่าจะนำไปอวดเพื่อนๆ ที่เป็นเซียนพระ เพื่อให้ได้เป็นที่ยอมรับในวงการพระ และผู้ใหญ่ที่ชื่นชอบพระเครื่องเพื่อจะเป็นการสร้างความเชื่อถือ และจะเป็นประโยชน์ต่อไป เวลาไปติดต่องานต่างๆ รวมไปถึงการประสานงานเพื่อให้โครงการที่จะมีการผลักดันให้เกิดขึ้นในพื้นที่ด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ได้พยายามติดตามท้วงคืนทรัพย์สินต่างๆ ทุกรายการ กลับไม่สามารถติดต่อคนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ได้
มีการปิดกั้นและบล็อกเบอร์โทรศัพท์ จึงทำให้ขาดความเชื่อมั่นและความไว้เนื้อเชื่อใจ
ขณะที่ แหล่งข่าวในแวดวงการเมือง ให้ข้อมูลยืนยันผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราว่า นอกจากรายการพระเครื่องและสร้อยคอพิงค์โกล์แล้ว ยังมีเครื่องประดับอื่น ๆ โดยเฉพาะนาฬิกาหรู ที่ คนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ ยืมจากสุภาพสตรีผู้เสียหายไป และไม่คืน รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดไม่น้อยกว่า 22 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ภายหลังได้รับทราบข้อมูลเรื่องนี้ ได้พยายามติดต่อขอสัมภาษณ์ คนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏร เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงอีกด้านแล้ว แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับคดีใหม่นี้ ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันจาก พนักงานสอบสวนสภ.บางคล้า ว่ามีการสอบสวนสรุปความผิดไปแล้วหรือไม่
คนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏร จึงยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
ส่วนรายละเอียดข้อมูลเชิงลึกต่างๆ สำนักข่าวอิศรา จะติตตามมานำเสนอต่อไป