"...กองปราบฯ ได้ส่งสำนวน “สั่งไม่ฟ้อง” คดีนี้ให้อัยการไปแล้ว หลังสอบปากคำพยานของทั้งสองฝ่ายและตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง พบว่า คดีนี้มีความก้ำกึ่งในเรื่องของข้อเท็จจริงทางคดี โดยตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหามีการไปดำเนินการจริงตามที่ผู้เสียหายต้องการให้ดำเนินการ แต่กระทำไม่สำเร็จ และไม่ได้มีสัญญาการว่าจ้าง พนักงานสอบสวนชั่งน้ำหนักหลักฐานของทั้งสองฝั่งแล้ว จึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์..."
"ขณะนี้สำนวนคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นอัยการ ยืนยันว่าคดีนี้ทำอย่างตรงไปตรงมาแม้ว่าจะเกี่ยวพันกับนักการเมือง แต่ก็ไม่มีผลกับการทำงานของกองปราบฯแต่อย่างใด"
คือ คำยืนยันของ พ.ต.ท.ชลิต ทิพย์ธำรง รองผกก.(สอบสวน) กก.1 บก.ป. ที่ให้กับสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) กรณีผู้รับเหมาในแวดวงธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำยางพาราเพื่อใช้ในงานก่อสร้างถนน ระบุว่า ว่า ถูกคนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายหนึ่ง ใช้ตำแหน่งหน้าที่เรียกรับเงินจำนวน 25 ล้านบาท เพื่อแลกเปลี่ยนในการประสานงานผลักดันเรื่องให้มีการยกเลิกออกใบรับรองมาตรฐานวัสดุน้ำยางพาราผสมสารเพิ่มของเอกชนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีลักษณะผูกขาด เอกชนรายใดต้องการเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างถนนยางของรัฐบาลจะต้องซื้อน้ำยางพาราผสมสารฯ กับเอกชนกลุ่มนี้เท่านั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นไปโดยมิชอบไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์คู่มือปฏิบัติงาน ส่งผลให้บริษัทของตนไม่สามารถเข้าร่วมขายน้ำยางพาราผสมสารฯ แต่หลังจากนั้นไม่ความคืบหน้า และเมื่อทวงถามขอเงินคืนไม่ยอมคืนให้อ้างว่านำเงินส่งให้กับนักการเมืองใหญ่ในภาคอีสานไปหมดแล้ว
โดยเบื้องต้น กองปราบฯ ได้ส่งสำนวน “สั่งไม่ฟ้อง” คดีนี้ให้อัยการไปแล้ว หลังสอบปากคำพยานของทั้งสองฝ่ายและตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง พบว่า คดีนี้มีความก้ำกึ่งในเรื่องของข้อเท็จจริงทางคดี โดยตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหามีการไปดำเนินการจริงตามที่ผู้เสียหายต้องการให้ดำเนินการ แต่กระทำไม่สำเร็จ และไม่ได้มีสัญญาการว่าจ้าง พนักงานสอบสวนชั่งน้ำหนักหลักฐานของทั้งสองฝั่งแล้ว จึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์
ขณะที่ ผู้รับเหมาที่เข้าร้องเรียนกับสำนักข่าวอิศรา ได้ทำหนังสือยื่นขอความเป็นธรรม ต่ออัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 1 ยืนยันว่าตนเองเป็นผู้เสียหายในคดีฉ้อเกงเงินจำนวน 25 ล้านบาท พร้อมแนบเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อขอให้อัยการโปรดพิจารณาสั่งฟ้องด้วยไปแล้ว
- อ้างส่งเงินให้นักการเมือง! แฉอดีตคนสนิท รองปธ.สภาฯ เบี้ยวคืน 25 ล.แลกเคลียร์ปมสารถนนยาง
- ไม่มีสัญญาจ้าง! กองปราบฯส่งสำนวน'สั่งไม่ฟ้อง'คนสนิทรองปธ.สภาฯ คดีเงิน 25 ล.ให้อัยการแล้ว
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบยืนยันข้อมูลกรณี ผู้รับเหมารายนี้ ระบุว่า ภายหลังจากเกิดเรื่องได้พยายามตรวจสอบข้อมูลประวัติของคนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ พบว่า เคยเป็นนักโทษถูกจำคุก ฐานความผิด ปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ ในช่วงปี 2551 พ้นโทษออกมาในช่วงปี 2559 ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีการเปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่หลายครั้ง และยังอ้างตำแหน่งทางวิชาการหลายตำแหน่งแบบผิดสังเกต และเข้ารับตำแหน่งเป็นข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง ติดตามทำงานให้นักการเมืองชื่อดังในภาคอีสาน และยังปรากฏชื่อเป็น ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะกรรมการวิสามัญ เข้าร่วมการอบรมหลักสูตรชื่อดังจำนวนมากด้วย
พบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ เพิ่มเติมดังนี้
1. เคยปรากฏชื่อเป็นนักโทษในเรือนจำ จำนวน 2 คดี หนึ่งในนั้น คือ ฐานความผิดปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ ร่วมกันข่มขืนใจและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น ร่วมกันมีอาวุธปืน และพาติดตัวไป
เรือนจำที่รับตัว คือ เรือนจำกลางคลองเปรม รับตัวครั้งแรก ช่วงกลางปี 2551
ในฐานข้อมูลระบุว่า เป็นนักโทษเด็ดขาด "ชั้นเยี่ยม" ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวช่วงกลางปี 2559
2. ในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ แจ้งข้อมูลคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนหลายครั้ง ในช่วงปี 2560-2563 แจ้งเปลี่ยนนามสกุลประมาณ 3 ครั้ง
โดยในช่วงหลังพ้นโทษประมาณ 2 วัน มีการแจ้งขอเปลี่ยนชื่อ และตามมาด้วยนามสกุลใหม่ ที่ใช้ในปัจจุบัน
3. ข้อมูลประวัติการศึกษา แจ้งว่า จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโท จากต่างประเทศ โดยปริญญาโท แจ้งว่าจบการศึกษาเมื่อปี 2550 (เป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเข้ารับโทษในเรือนจำ)
4. ในฐานข้อมูลออนไลน์ ระบุตำแหน่งวิชาการนำหน้าชื่อหลายตำแหน่ง มีผลงานวิชาการหลายเรื่อง ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรสำคัญหลายหลักสูตรรวมถึงหลักสูตรของหน่วยงานทหาร เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะกรรมการวิสามัญ หลายชุด รวมถึงมีตำแหน่งในบริษัทเอกชนหลายแห่ง และยังถูกระบุว่า เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้สังคมจำนวนหลายเรื่อง ได้รับรางวัลจำนวนมากด้วย
ทั้งหมด เป็นข้อมูลเกี่ยวกับคนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ ที่ตรวจสอบพบล่าสุด
ส่วนผลในทางคดีการเรียกรับเงิน 25 ล้านบาท จะออกมาเป็นอย่างไร คงต้องคอยติดตามดูกันต่อไป
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับคดีนี้ ปัจจุบันเรื่องยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดีในชั้นศาล ขณะที่การสอบสวนของกองปราบฯ ก็สรุปสำนวนสั่งไม่ฟ้องคดี ส่งให้อัยการไปแล้ว
คนสนิทรองประธานสภาผู้แทนราษฏรรายนี้ จึงยังถูกเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่