"...จําเลยทั้งสองร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน 20,000,000 บาท สําหรับจําเลยทั้งสองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ จากนายเกษม กลั่นยิ่ง และนายสุรเดช พรหมโชติ อดีตผู้บริหารของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งถูกตรวจสอบทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อช่วยเหลือทางคดีเกี่ยวกับการถอนอายัดทรัพย์สิน..."
รวมจำคุก จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 12 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 7 ปี 12 เดือน
ให้ริบเงิน 6,000,000 บาท
คือ บทสรุปคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่ตัดสินลงโทษ นายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองคดี 2 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จำเลยที่ 1 และ นายอเนก ใจพยุงตน จำเลยที่ 2 ในคดี ร่วมกันเรียกเงิน จำนวน 20 ล้านบาท จากนายเกษม กลั่นยิ่ง และนายสุรเดช พรหมโชติ ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ที่ถูกตรวจสอบทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนในการช่วยเหลือทางคดีเกี่ยวกับการถอนอายัดทรัพย์สิน ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ได้ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตาม ป.อ.มาตรา 149, 157, 164 พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 103 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 66 (2) ประกอบ ป.อ.มาตรา 86
ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา สืบค้นคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ตัดสินคดีนี้ พบว่าในคำฟ้องของอัยการสูงสุด ในฐานะฝ่ายโจทก์ มีการระบุรายละเอียดสถานะและพฤติการณ์การกระทำความผิด นายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ จำเลยที่ 1 และ นายอเนก ใจพยุงตน จำเลยที่ 2 ไว้เป็นทางการดังนี้
สถานะจำเลย
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ นายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ จําเลยที่ 1 ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการ กองคดี 2 สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีหน้าที่รับผิดชอบในการสืบสวนและเก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดําเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดและดําเนินคดี กับผู้กระทําความผิดฐานฟอกเงิน ปฏิบัติหรือประสานการปฏิบัติเพื่อการสืบสวน ตรวจค้นยึดหรืออายัดทรัพย์สิน และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รับหรือส่งรายงานหรือข้อมูลเกี่ยวกับคดีเพื่อปฏิบัติการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการเกี่ยวกับการขอหมายค้นหมายจับ การจับผู้กระทําความผิดฐานฟอกเงิน การคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน และการประสานติดตามพยานในคดีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การเก็บรักษาพยานหลักฐานและของกลาง ในคดีการรับและส่งมอบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด รวมทั้งติดตามและแจ้งผลการ ดําเนินคดีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ทั้งนี้ ภายในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของกองคดี 2 รวมทั้งมีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติราชการของกองคดี 2 ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ แบบแผนของทางราชการ และเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ในกองคดี 2 และปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย
นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินในกรณีนายเกษม กลั่นยิ่ง อดีตเลขาธิการสํานักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กับพวก มีพฤติการณ์ทุจริตเงินกองทุนของ สกสค.
นายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ จําเลยที่ 1 จึงเป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
ส่วนนายอเนก ใจพยุงตน จําเลยที่ 2 ไม่มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐและเจ้าพนักงานว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 หรือเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา จําเลยที่ 2 จึงไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเจ้าพนักงาน
พฤติการณ์การกระทำความผิด
เมื่อระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 ถึงวันที่ 11 ธันวาคม 2558 ต่อเนื่องกันตลอดมา วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด นายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ จำเลยที่ 1 และ นายอเนก ใจพยุงตน จำเลยที่ 2 ร่วมกันกระทําความผิดต่อกฎหมายหลายบท หลายกรรมต่างกัน
กล่าวคือ จําเลยทั้งสองร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน 20,000,000 บาท สําหรับจําเลยทั้งสองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ จากนายเกษม กลั่นยิ่ง และนายสุรเดช พรหมโชติ อดีตผู้บริหารของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งถูกตรวจสอบทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อช่วยเหลือทางคดีเกี่ยวกับการถอนอายัดทรัพย์สิน
ซึ่งต่อมาได้มีการมอบเงินสดจํานวนครั้งละ 2,000,000 บาท รวม 3 ครั้ง เป็นเงิน 6,000,000 บาท ให้แก่จําเลยทั้งสอง อันเป็นการกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ของนายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ จําเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้จากบุคคล นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และมิใช่ทรัพย์สินไป หรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ตามหลักเกณฑ์และจํานวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด
ทั้งนี้ โดยนายอเนก ใจพยุงตน จำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนในการกระทําผิดดังกล่าว
นอกจากนี้จําเลยทั้งสองซึ่งรู้หรืออาจรู้ความลับในราชการ ได้กระทําโดยประการใด ๆ อันมิชอบด้วยหน้าที่ของ นายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ จำเลยที่ 1 ให้ผู้อื่นล่วงรู้ ความลับนั้น โดยร่วมกันส่งข้อมูลภาพถ่ายร่างคําสั่งเพิกถอนการอายัดทรัพย์สินของคณะกรรมการธุรกรรม คําสั่งที่ พ. /2558 ฉบับไม่ระบุวันที่ ระบุเดือนสิงหาคม 2558 ที่นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง ประธานกรรมการธุรกรรมยังไม่ได้ลงลายมือชื่อ และภาพร่างบัญชีทรัพย์สินที่เพิกถอนแนบท้ายคําสั่ง แผ่นที่ 1/3 แผ่นที่ 2/3 และแผ่นที่ 3/3 ที่นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง ประธานกรรมการธุรกรรมยังไม่ได้ลงลายมือชื่อที่เสนอมายังจําเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ในการตรวจสอบอันเป็นเอกสารและความลับเกี่ยวกับการดําเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ไปยังนายนรวรรธน์ ภูภักดีสิรรัชต์ ผ่านทางระบบไลน์ (LINE) ในโทรศัพท์เคลื่อนที่
เพื่อแสดงให้เห็นว่านายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ จำเลยที่ 1 กําลังดําเนินการเสนอเรื่องเพิกถอนอายัดทรัพย์สินให้
หลังจากที่ได้รับเงิน 6,000,000 บาทแล้ว อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทั้งนี้โดย นายอเนก ใจพยุงตน จำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนในการกระทําผิดดังกล่าวเงิน 6,000,000 บาท เป็นเงินที่ให้แก่จําเลยทั้งสองเพื่อจูงใจให้กระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นเงินที่จําเลยทั้งสองได้มาจาก, การกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดลักษณะเดียวกันตามกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
เหตุเกิดที่แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 34, 86, 91, 149, 157, 164 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 31, 32, 33 พระราชบัญญัติประกอบประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 103, 122 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 83, 93, 128, 169 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 66 และขอให้ริบเงิน 6,000,000 บาท
หากจําเลยทั้งสองไม่สามารถส่งมอบเงินได้ เพราะสูญหายหรือไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดหรือได้มีการนําเงินนั้นไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่นหรือได้มีการจําหน่ายจ่ายโอนเงินนั้นหรือการติดตามเอาคืนจะกระทําได้โดยยากเกินสมควรหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น
ขอให้ศาลสั่งให้จําเลยทั้งสองร่วมกันชําระเป็นเงินแทนตามมูลค่าเงินจํานวนดังกล่าว
ในคำพิพากษาตัดสินคดีนี้ ยังมีรายละเอียดในส่วนของการนัดพบกัน ระหว่าง นายอภิชาติ ถนอมทรัพย์ จำเลยที่ 1 นายอเนก ใจพยุงตน จำเลยที่ 2 กับ นายเกษม กลั่นยิ่ง นายสุรเดช พรหมโชติ เพื่อหารือถึงแนวทางในการช่วยเหลือคดีและเรียกรับเงิน ซึ่งใช้คำศัพท์ ว่า "กระสุน" แทนคำว่า "เงินสด" รวมอยู่ด้วย
รายละเอียดเป็นอย่างไร สำนักข่าวอิศรา ขอนำมาเสนอในตอนต่อไป