ประชุมใหญ่ ‘สร้างอนาคตไทย’ เลือก ‘อุตตม’ หัวหน้า ‘สนธิรัตน์’ เลขาฯ ชูชื่อ ‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 เม.ย.2565 พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2565 โดยที่ประชุมีมติเลือกคณะกรรมการบริหารพรรค 16 คน โดยมี นายอุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรค , นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค , นายสันติ กีระนันท์ เหรัญญิกพรรค , นายนิทัศน์ ประทักษ์ นายทะเบียนพรรค
ขณะที่กรรมการบริหารพรรค 12 คน ประกอบด้วย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ , นายสุพล ฟองงาม , นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ , นายวิเชียร ชวลิต , นายนริศ เชยกลิ่น , นายวัชระ กรรณิการ์ , นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ , นายวิรัช วิฑูรย์เธียร , นายโอฬาร วีระนนท์ , นายอิธวัฒน์ พิทักษ์คุมพล , นางทิพย์พาพร ตันติสุนทร , น.ส.โชนรังสี เฉลิมชัยกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมใหญ่พรรควันนี้ มีตัวแทนจากพรรคอื่นเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคักคัก อาทิ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ , นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ ตัวแทนพรรคชาติไทยพัฒนา , ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย เป็นต้น
ชูชื่อ ‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’ แคนดิเดตนายกฯ
ต่อมา นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย เปิดเผยว่า นับจากนี้ไปตนและทีมงานที่ได้รับมอบหน้าที่จะขับเคลื่อนพรรคอย่างเป็นทางการทันที เพื่อให้พรรคสร้างอนาคตไทยเป็นสถาบันการเมืองที่มั่นคง เป็นที่พึ่งของประชาชน เป้าหมายสูงสุดอันดับแรกของพวกเราในการทำพรรคการเมืองคือ การแก้ปัญหาให้กับประชาชน ซึ่งมีหลากหลายมิติที่เดือดร้อนกันอยู่โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง รวมถึงปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ความเป็นรัฐราชการที่ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหา
“ปัญหาที่เราอาสามาแก้ไขไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน เพราะถ้าง่าย วันนี้ผู้มีอำนาจในปัจจุบันหรือในอดีตคงแก้ไขเรียบร้อยไปหมดแล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าถึงเวลาที่ประชาชนจะได้มีพรรคการเมืองทางเลือกที่เป็นที่พึ่งได้สักครั้งหนึ่ง นั่นคือเหตุผลที่เราร่วมกันสร้างพรรคสร้างอนาคตไทย” นายอุตตม กล่าว
นายอุตตม กล่าวอีกว่า ตนทราบดีว่าทุกคนไม่ได้เข้ามาเพียงหวังอำนาจ เราก็ไม่ได้เคยไขว่คว้าหาอำนาจนั้น หากบ้านเมืองทุกวันนี้ไม่อยู่ในภาวะวิกฤติ เป็นภาวะปกติ และหากคิดว่าคนในแวดวงการเมืองวันนี้สามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาในการเมืองก็ได้ วันนี้พวกเราพร้อมรับฟังความต้องการของทุกภาคส่วน เปิดใจ เปิดพื้นที่ ฟังความเห็นทั้งที่สอดคล้องและเห็นแตกต่างกัน มาร่วมกันคิด ร่วมกันทำ เพื่อประโยชน์สูงสุดของส่วนรวม
“ช่วยกันหยุดประชาธิปไตยที่ยึดอยู่กับการตอบสนองผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มเทานั้น โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติและส่วนรวม” นายอุตตม กล่าว
นายอุตตม กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามักมีคำถามถึงตนและนายสนธิรัตน์ว่า ทำไมไม่ทำนโยบายเหล่านี้ ตั้งแต่ยังอยู่ในการเมืองที่ผ่านมา ขอถือโอกาสพูดสั้นๆ ให้เกิดความชัดเจนว่า ตนและเพื่อนทีมงาน ภายใต้การนำของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้าไปทำงานด้วยความตั้งใจ เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้ประเทศ วางรากฐานที่มั่นคงเพื่อการพัฒนาประเทศ เราไม่ได้เข้าสู่การเมืองเพื่อหวังอำนาจหรือสิ่งใด หวังเข้าไปทำงาน และได้ทำงานมีหลายโครงการได้ริเริ่มไปแล้ว เช่น วางระบบสวัสดิการแห่งรัฐผ่านบัตรประชารัฐ ระบบพร้อมเพย์ เป็นต้น
“มีอีกคำถามที่ผมเชื่อว่าอยู่ในใจของหลายท่าน คือผู้ร่วมอุดมการณ์ เราจะเชิญนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคสร้างอนาคตไทย” นายอุตตม กล่าว
นายอุตตม กล่าวด้วยว่า ส่วนคำถามที่ว่าพรรคใหม่อย่างเราจะไปได้แค่ไหน สู้พรรคใหญ่ได้หรือไม่ นั่นคือความคิดการเมืองแบบเก่า วันนี้ประชาชนเปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนแยกแยะได้ การยึดติดแนวความคิดการเมืองไม่สร้างสรรค์ มากกว่ามุ่งแก้ไขปัญหาประชาชนจะทำให้ประเทศไม่ไปไหน การเมืองติดหล่ม สังคมมีแต่ความขัดแย้ง จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะนำเสนอกับประชาชนด้วยชุดความคิดใหม่ในการแก้ปัญหาให้กับประชาชน
‘นิพิฏฐ์’ประกาศสงครามครั้งสุดท้าย สู้เพื่อพัฒนาภาคใต้
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กรรมการบริหารพรรคสร้างอนาคตไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ตนมีโอกาสได้คุยเป็นการส่วนตัวกับนายสมคิด 2 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ตนได้กราบเรียนว่าในทางการเมือง ชื่อของตนเมื่อเดินออกจากพรรคประชาธิปัตย์ก็เหมือนเป็นสิ่งชำรุดทางการเมืองไปแล้ว แต่นายสมคิดบอกว่าประสบการณ์ของตนยังมีประโยชน์สำหรับบ้านเมืองอยู่ นอกจากนั้นสิ่งหนึ่งที่นายสมคิดสะท้อนให้ฟัง คือ ภาคใต้มีจุดแข็งเรื่องทรัพยากรมากที่สุดในไทย แต่มีจุดอ่อนหลายประการ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานที่อ่อนแอที่สุด เมื่อเวลาเศรษฐกิจดีคนภาคใต้รวยช้ากว่าคนภูมิภาคอื่น
นายนิพิฏฐ์ กล่าวย้ำว่า ครั้งนี้ขอประกาศกับประชาชนว่า ครั้งนี้เป็นการทำสงครามครั้งสุดท้าย แพ้หรือชนะไม่ได้เสียใจ แต่จะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนภาคใต้ หากจุดยืนทางการเมืองที่ยืนอยู่เป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับลูกหลานตนจะไม่อ้อนวอนท่านให้มาอยู่กับพรรคสร้างอนาคตไทย แต่หากคิดว่าจุดที่ยืนอยู่ไม่เหมาะสม โลกไปไกลเกินกว่าจะรองรับลูกหลานของเรา ก็ขอให้มาจับมือกับตนสร้างอนาคตไทยไปด้วยกัน
‘สุพล’หวังวางรากฐานประชาธิปไตยใหม่
ด้าน นายสุพล ฟองงาม กรรมการบริหารพรรคสร้างอนาคตไทย เปิดเผยว่า ตนเป็นนักการเมืองอาชีพ ปีนี้เข้าสู่ปีที่ 32 และได้มาสวมเสื้อตัวที่สามจากพรรคเพื่อไทยไปพรรคพลังประชารัฐ ด้วยการทาบทามจากนายสมคิด เป็นวันที่ตัดสินใจยากที่สุด ในชีวิตทางการเมืองอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด ต่อสู้กับอีกฝ่ายมาตลอด ตนเป็นคนหนึ่งที่เป็นแกนนำเสื้อแดงร่วมต่อสู้ แต่ได้พูดคุยกับนายสมคิด เพื่อให้บ้านเมืองก้าวข้ามความขัดแย้ง สลายความขัดแย้ง สร้างเศรษฐกิจฐานราก วางรากฐานประชาธิปไตยกันใหม่จึงตัดสินใจร่วมงานกับนายอุตตม และ นายสนธิรัตน์ตั้งแต่วันนั้น
‘สุรนันทน์’ฟันธงประเทศไปไม่รอดถ้านายกฯไม่ใช่ ‘สมคิด’
ขณะที่นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ กรรมการบริหารพรรคสร้างอนาคตไทย เปิดเผยว่า เหตุผลที่กลับมาทำการเมืองรอบนี้ มี 3 เหตุผลหลัก คือ 1.2 ปีที่โควิดระบาด รัฐบาลหลายประเทศจัดการแก้ปัญหาได้ แต่รัฐบาลไทยมีปัญหาในการจัดการสิ่งนี้ 2.ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลนี้ไม่มีแผนสำหรับวันนี้ ไม่มีแผนสำหรับพรุ่งนี้ อยู่กันไปวันๆ ปัญหาข้าวของแพงไม่แก้ แต่ไปแก้เรื่องล็อตเตอรีราคาแพง 3.ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด คือ ปัญหาการจัดการบริหารล้มเหลวของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารล้มเหลวที่ไม่สามารถขอให้อยู่ต่ออีก 8 ปีได้
“ผมอยู่ในสภา 4 ปีเต็ม เป็นรัฐมนตรี 2 ปี เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 2 ปี เห็นคนดีเข้าไปทำการเมือง แล้วก็ออกมาเพราะอยู่ไม่ได้ มีแต่พวกต่อสู้กันเพื่ออำนาจที่อยู่ได้ เรายอมให้ประเทศเป็นแบบนี้หรือไม่ เรายอมไม่ได้ และต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้” นายสุรนันทน์ กล่าว
นายสุรนันทน์ กล่าวว่า วันนี้เรามาสร้างพาหนะใหม่ สร้างองค์กรใหม่ร่วมกัน เป็นองค์กรมืออาชีพ ผสมผสานความคิดใหม่ รวบรวมคนรุ่นใหม่ พร้อมทำงานเสียสละเพื่อประเทศชาติ ในอดีตตนเป็นโฆษกพรรคไทยรักไทย ต้องลับคมปากกับนายนิพิฏฐ์ ที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ถ้าถามเมื่อ 20 ปีก่อนว่าจะร่วมเวทีเดียวกันได้หรือไม่ คงได้แต่หัวเราะ แต่วันนี้เราสามารถยืนบนเวทีเดียวกันได้ ต้องสลายความขัดแย้ง รวบรวมคนดี คนเก่งเข้ามาทำงานร่วมกัน หากยังทำการเมืองท่ามกลางความขัดแย้ง ประเทศนี้จะล่มสลายและเราปล่อยให้ประเทศล่มสลายไม่ได้
“ขอฟันธงตรงนี้เลย ถ้านายกรัฐมนตรีคนต่อไม่ชื่อสมคิด ประเทศนี้ไปไม่รอด” นายสุรนันทน์ กล่าว
‘สนธิรัตน์’ยันฟเป็นพรรคตัวแปรสลายความขัดแย้งสองฝ่าย
เมื่อเวลา 13.40 น. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย เปิดเผยว่า เราตั้งพรรคการเมืองครั้งที่แล้ว ด้วยความตั้งใจยุติความขัดแย้ง นำความสงบคืนสู่สังคม เรารับไม่ได้ที่สังคมไทยจะลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากัน เราหวังให้การเกิดพรรคในครั้งนั้นเป็นทางออกเปลี่ยนผ่านประเทศ แต่เราก้าวไม่พ้นกับวิธีคิดทางการเมืองของนักการเมือง ที่ยังมีวิธีคิดย่ำเท้าอยู่กับที่ วันนี้เป็นอีกครั้งที่พวกเราทั้งหมดตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ ลุกขึ้นอีกครั้ง การสร้างพรรคเป็นเรื่องที่ยากที่สุด หากไม่มีพรรคสร้างอนาคตไทย เรายังไม่เห็นความหวังของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่เห็นความสมดลทางการเมืองของทั้งสองฝ่ายจะนำพาประเทศไปได้อย่างไร ถ้าไม่มีพรรคที่เป็นทางออก และเราจะเป็นตัวแปร เราจะมีส่วนสลายความขัดแย้งของประเทศ ตนภูมิใจในพรรคสร้างอนาคตไทย
นโยบาย 5 สร้างเศรษฐกิจ-การเมือง
ทั้งนี้ พรรคสร้างอนาคตไทย ประกาศชุดนโยบาย 5 สร้าง ดังนี้
1.สร้างเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งและทันสมัย สร้างความเข้มแข็งให้ฐานรากด้วยเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ประยุกต์ภูมิปัญญาถิ่นสร้างโอกาสในชีวิตที่ดีกว่า
2.สร้างภาคเศรษฐกิจใหม่โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต พัฒนาระบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ที่สร้างมูลค่าสูงด้วยแนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) หรือระบบเศรษฐกิจฐานชีวภาพ มีการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรและเป็นมิตรกับโลก สร้างโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต เพื่อเป็นปัจจัยในการสร้างภาคเศรษฐกิจใหม่ให้มีประสิทธิภาพ
3.สร้างสังคมที่เกื้อกูล เป็นธรรม และยั่งยืน คืนความสุขให้คนไทยทุกคน บูรณะวัฒนธรรมพื้นฐานของความเอื้ออาทร เกื้อกูล มีน้ำใจ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ในจิตใจของคนไทยทุกคน เสริมพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) เพื่อใช้ประโยชน์ของทรัพยากรในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างคุ้มค่าและทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
4.สร้างคนและวิทยาการพร้อม ก้าวสู่สังคมโลกแห่งอนาคต สามารถใช้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ด้วยเทคโนโลยีในระบบการศึกษาและการศึกษาต่อเนื่อง สร้างพื้นฐานความรู้ที่เข้มแข็งและมีจิตที่พร้อมจะเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นหลักประกันในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ
5.สร้างการเมืองที่สร้างสรรค์พลังบวก เกือบ 2 ทศวรรษ บ้านเมืองติดกับดักการแย่งอำนาจ เข้ามาแล้วก็ยึดติดกับความพยายามรักษาและสืบทอดอำนาจ ก่อให้เกิดความร้าวฉานแบ่งพรรคพวก ทำให้เกิดภาวะชะงักงันในการบริหารประเทศ ดำเนินงานการเมืองโดยยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง บนพื้นฐานจิตสาธารณะ หยุดประชาธิปไตยเทียมที่มีเพียงรูปแบบอันหลอกลวงมุ่งสนองประโยชน์ของพวกพ้องและอภิสิทธิ์ชน หยุดยั้งการเมืองเชิงทำลายที่มุ่งสร้างความร้าวฉานเพียงเพื่อช่วงชิงอำนาจด้วยเกมการเมือง