สมาคมภัตตาคารไทย ทำหนังสือร้องนายกฯ ทบทวนคำสั่ง ศบค. ขอให้อนุญาตร้านอาหารพื้นที่ 6 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวดกลับมานั่งกินในร้านได้ตามปกติ ย้ำมีมาตรการควบคุมโรคตามมาตรฐานอยู่แล้ว
--------------------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ค.2564 สมาคมภัตตาคารไทย ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอให้ทบทวนคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) ที่ไม่อนุญาตให้นั่งรับประทานอาหารในร้าน ระบุว่า เนื่องจากคำสั่งในวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมาให้ร้านอาหารในพื้นที่ 6 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามมีการให้บริการนั่งรับประทานอาหารในร้านเป็นเวลา 14 วัน สมาคมภัตตาคารไทย ในฐานะผู้แทนกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ได้รับข้อร้องเรียน ปรับทุกข์ จากผู้ประกอบการร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบของการระบาดใน 2 ระยะที่ผ่านมา ทำให้มีร้านจำนวนไม่น้อย ต้องยอมพ่ายแพ้เลิกกิจการพร้อมกับหนี้สิน และอีกจำนวนมากกำลังเข้าสู่จุดวิกฤติของกิจการสุ่มเสี่ยงต่อการต้องปิดกิจการจากมาตรการครั้งนี้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจะสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจประเทศตามมา มูลค่าความเสียหายของธุรกิจร้านอาหารโดยประมาณการจากคำสั่งล่าสุดนี้อยู่ที่ 1,400 ล้านบาทต่อวัน อีกทั้งธุรกิจร้านอาหารมีห่วงโซ่เชื่อมโยงต่อธุรกิจอื่น ๆ มากมาย โดยเฉพาะภาคการเกษตรอันจะสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมาได้
สมาคมภัตตาคารไทยในฐานะผู้แทนผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร จึงมีข้อเรียกร้องมายังนายกรัฐมนตรี เพื่อกรุณาพิจารณา 2 ข้อ ดังต่อไปนี้
1.อนุญาตให้ร้านอาหารสามารถนั่งรับประทานในร้านได้ไม่เกิน 21.00 น. และงดนั่งดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน ขอให้พิจารณาอนุญาต ในวันที่ 7 พ.ค.2564 ทั้งนี้ ในช่วงการระบาดของโรคโควิดที่ผ่านมา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณสุข จัดทำมาตรฐาน SHA (Amazing Thailand Safety & Health Administration) เพื่อให้สถานประกอบการภาคบริการทั่วประเทศเข้าร่วม มาตรฐานดังกล่าวเป็นมาตรฐานด้านสาธารณสุข ที่อยู่ในระดับเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ของสมัชชาการท่องเที่ยวโลก (World Travel and Tourism Council หรือ WTTC) เป็นหนึ่งในเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภาคธุรกิจร้านอาหารเป็นหนึ่งในกลุ่มกิจการที่เข้าร่วมมาตรฐาน SHA มีร้านอาหารจำนวนกว่า 2,000 ร้านที่ผ่านการตรวจสอบและให้การรับรองตามมาตรฐาน ซึ่งร้านเหล่านี้เป็นร้านที่มีมาตรการป้องกันการระบาดของโรคโควิดขั้นสูงสุด และยังมีร้านอาหารอีกจำนวนมาก ที่แม้จะไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรฐาน SHA แต่ก็ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ ศบค.กำหนดมาอย่างเข้มงวดเช่นกัน มีการใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อทำมาตรฐานสาธารณะทุกข้อ เป็นการแสดงออกถึงการให้ความร่วมมือกับ ศบค.ด้วยดีตลอดมา
ดังนั้น ทางการแพทย์สามารถมั่นใจได้ว่า แม้จะมีการไปใช้บริการนั่งรับประทานอาหารในร้านก็จะไม่เกิดปัญหา ในช่วงที่เปิดหน้ากากรับประทานอาหาร สมาคมภัตตาคารไทยได้นำข้อกำหนดของกรมอนามัยมาศึกษา ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ด้วยการจัดการเว้นระยะของโต๊ะ การเว้นให้ลูกค้าในโต๊ะนั่งห่างกัน มีฉากพลาสติกกั้น และการจำกัดจำนวนลูกค้าเทียบกับพื้นที่ สำหรับร้านอาหารที่ยังไม่ได้ตราสัญลักษณ์ SHA โอกาสนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเชิญชวนให้ร้านอาหารต่าง ๆ ทั่วประเทศเข้าร่วม เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยสมาคมภัตตาคารไทยจะเป็นผู้ประสานดำเนินการต่อไป
1.1 ร้านอาหารที่เป็นอาหารจานเดียวริมทางหรือร้านเล็ก ๆ ที่เป็นตึกแถว ขอให้พิจารณาอนุญาตกลับมาให้นั่งทานในร้านได้เช่นกันในวันที่ 7 พ.ค.2564 โดยมีข้อกำหนดบังคับให้ร้านอาหารประเภทดังกล่าวดำเนินการ คือ ต้องลดที่ลงอย่างน้อย 50% ของที่นั่งเดิม , เว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะไม่ต่ำกว่า 1 เมตร , ไม่อนุญาตให้ลูกค้าที่ไม่ได้มาด้วยกัน นั่งรวมโต๊ะเดียวกันเด็ดขาด , ปฏิบัติตามมาตรฐานของสาธารณสุข ก่อนเข้าร้านอย่างเคร่งครัด และหากตรวจพบว่าไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ท้องถิ่นและสาธารณสุข มีสิทธิ์ที่ใช้อำนาจในการตักเตือนแก้ไขทันทีในครั้งที่ 1 หากยังไม่สามารถปฏิบัติตามได้อีก สามารถใช้อำนาจในการสั่งปิดต่ออีก 7 วัน ตามคำสั่งของ ศบคได้ทันที
1.2 ร้านอาหารประเภทปิ้งย่าง ชาบู บุฟเฟต์ ไม่อนุญาตในนั่งโต๊ะเดียวกันเกิน 4 คน และต้องเว้นระยะห่างโต๊ะไม่ต่ำกว่า 2 เมตร หรือ 1 เมตร แต่มีฉากกั้น รวมทั้งไม่อนุญาตให้ตักอาหารบุฟเฟต์เอง หากไม่มีมาตรการดูแลป้องกันอย่างถูกวิธี เช่น ลูกค้าต้องใส่แมสปิดปากปิดจมูกทุกครั้งที่ไปรับอาหารหรือตักอาหาร และร้านต้องให้ลูกค้าใส่ถุงมือพลาสติกส่วนตัวด้วยทุกครั้ง รวมทั้งจำกัดจำนวนคนในการเดินตักอาหารให้เหมาะสมด้วย
นอกจากข้อกำหนดดังกล่าวแล้ว มาตรการทั้งหมดที่เรียนแจ้งมานี้ ทางสมาคมภัตตาคารไทยยังขอเสนอให้ บังคับใช้กฎกระทรวงตาม พรบ.สาธารณสุข 2535 ให้ร้านอาหารทุกร้านกลับไปใช้มาตรการตามกฎระเบียบของสาธารณสุขในครั้งช่วงโควิดระบาดรอบแรก เนื่องจากเป็นมาตรการที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยมาก ทั้งกับร้านอาหารเองและลูกค้า
2.มาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหาร ด้วยสถานการณ์ผลกระทบของการระบาดโควิด ตั้งแต่รอบแรกจนมาถึงปัจจุบัน ผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจของภาครัฐ ด้วยเพราะมีข้อกำหนด หลักเกณฑ์มากมายไม่สอดคล้องต่อสภาพความจริงของการประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องประสบกับปัญหาด้านการเงินอย่างมาก
สมาคมภัตตาคารไทยจึงใคร่ขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเยียวยา ดังนี้ ช่วยเหลือเยียวยาค่าจ้าง เงินเดือน 50% , งดการจัดเก็บภาษีในรอบระยะเวลาบัญชี 1 ปีที่ผ่านมา ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ , ผ่อนผันการชำระดอกเบี้ย เป็นเวลา 6 เดือน และพักการชำระเงินต้นเป็นเวลา 1 ปี และ ขอให้ประสานเจ้าของห้างสรรพสินค้าลดค่าเช่าอย่างน้อย 50% โดยเจ้าของพื้นที่ที่ให้ส่วนลดสามารถนำไปลดหย่อนภาษีจากรัฐบาลในรอบบัญชีถัดไป ซึ่งเป็นการช่วยประคับประคองร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบมาตลอดทั้งปี
ส่วนการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ ธนาคารมักจะมีทัศนคติว่า ร้านอาหารเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยง อันที่จริงความเสี่ยงนั้นมีเฉพาะในช่วงโควิด ร้านอาหารในอดีตล้วนมั่นคงด้วยเป็นธุรกิจเงินสด ใช้สินเชื่อจากธนาคารเท่าที่จำเป็นเมื่อมีการขยายธุรกิจเท่านั้น
ทางสมาคมภัตตาคารไทยในฐานะผู้แทนผู้ประกอบการธุรกิจภัตตาคาร และร้านอาหาร ทราบดีมาตลอดถึงความห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ที่มีมายังผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร และเราเองตระหนักในความสำคัญของการมีส่วนร่วมแก้ไขวิกฤตการณ์ระบาดของโควิด จึงให้ความร่วมมือด้วยดีตลอดมา แม้จะต้องแบกรับความเสียหายทางธุรกิจไว้โดยลำพังก็ตาม จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นายกรัฐมนตรีจะพิจารณาผ่อนปรนมาตรการในส่วนของร้านอาหารและพิจารณามาตรการช่วยต่าง ๆ ตามที่ได้นำเสนอมานี้
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage