ภาคประชาสังคมค้านร่างพ.ร.บ.องค์กรไม่แสวงหากำไรฯ ให้อำนาจมหาดไทยควบคุมเอ็นจีโอเบ็ดเสร็จ ซ้ำไม่ผ่านประชาพิจารณ์จากประชาชน
........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ก.พ.2564 นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ประธานอนุกรรมการด้านกฎหมายในคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.) กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาองค์ภาคประชาสังคมและหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ว่า การอนุมัติดังกล่าวของคณะรัฐมนตรี ทำให้สับสน เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. … ผ่านประชาพิจารณ์จากประชาชนแล้ว ซึ่งกำหนดบทบาทของภาคประชาชน ให้ประสานกับองค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 250 และมาตรา 254 โดยองค์กรที่จดทะเบียนแล้ว จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ทั้งในเรื่องการประสานงานและการฝึกอบรมเพื่อให้ชุมชนเข้มแข็ง สามารถนำทรัพยากรในท้องถิ่นมาบริหารจัดการได้ แต่ร่างกฎหมายอีกฉบับที่ประกบเข้ามา ว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พบว่ายังไม่ผ่านการประชาพิจารณ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ชัดเจน ทั้งที่ร่างกฎหมายดังกล่าวควรจะเป็นวาระจรมากกว่า
นายสรรพสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การที่คณะรัฐมนตรีรับหลักการ ถือว่าเป็นอันตรายต่อประเทศ เนื่องจากการกำหนดว่าองค์กรภาคประชาสังคมต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่จะออกมา และต้องจดทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องควบคุมรายรับ เช่น รายรับจากต่างประเทศที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจ ถือว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา รวมถึงมาตรา 42 ที่ระบุว่าบุคคลย่อมรวมตัวเป็นองค์กร ชุมชนสหภาพ องค์กรได้ แต่ในกฎหมายมีบทบัญญัติให้อำนาจผู้มีอำนาจเข้ามาแทรกแซง ซึ่งไม่เห็นมีความจำเป็นต้องออกกฎหมายมาควบคุมประเด็นที่ว่าองค์กรภาคประชาสังคมแสวงหารายได้จำนวนมาก เรื่องนี้สามารถใช้กฎหมายฟอกเงินเข้ามาจัดการได้อยู่แล้ว
“องค์กรรัฐทำโดยคำสั่งของผู้มีอำนาจไม่ตอบสนองประชาชนอย่างแท้จริงซึ่งร่างกฎหมายนี้จะคล้ายกับการทำงานของภาครัฐกรณีระงับ 3 สารอันตรายที่ประเทศไทยมี พ.ร.บ.คณะกรรมการว่าด้วยวัตถุอันตรายแต่กรรมการฯ กลับทำตรงกันข้ามอนุญาตให้ใช้สารพิษ ร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันนี้ จึงจำกัดเสรีภาพร้ายแรงสุด” นายสรรพสิทธิ์ กล่าว
นางสุนี ไชยรส ในฐานะผู้ร่วมเสนอกฎหมาย ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. .... (ฉบับประชาชน) กล่าวด้วยว่า รัฐบาลควรทบทวนการรับหลักการร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เนื่องจากถือว่าขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ กรณี นำร่าง พ.ร.บ.ฉบับของรัฐบาลเสนอประกบเข้ามา โผล่มาจากไหนไม่ทราบเหมือนตั้งใจสอดไส้ รัฐบาลทำแบบนี้มีโอกาสที่สาระสำคัญในร่างของภาคประชาสังคมจะตกไปซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ บิดเบี้ยวไปคนละทิศคนละทางกฎหมายที่สอดไส้ไม่รับฟังความคิดเห็นเป็นการหมกเม็ดอย่างมาก เหมือนต้องการควบคุมการเติบโตของภาคประชาสังคมทั้งๆที่ควรคุ้มครองเสรีภาพในการรวมตัวทั้งส่วนที่เป็นนิติบุคคลและไม่เป็นนิติบุคคล กลับต้องมาจดแจ้งตรวจสอบ อย่างไรก็ตามการทำงานที่ผ่านมาไม่ต้องจดทะเบียนก็สามารถทำงานได้ ยกตัวอย่างเช่น ภาคประชาสังคมที่ทำงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม องค์กรต้องจดแจ้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามระเบียบการปฏิบัติงานอยู่แล้ว ส่วนการตรวจสอบในเรื่องของค่าใช้จ่าย มีระบบตรวจสอบอยู่แล้ว เป็นการทำงานเพื่อส่วนรวม และเสียภาษีเงินได้เหมือนบุคคลทั่วไปทุกคนที่เสียภาษี
นางสุนี กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ยังมีการให้ข้อมูลจากทาง พม.ที่ทำให้เกิดความสับสน เนื่องจากเนื้อหาเป็นคนละเรื่องกัน ทั้งนี้ยังระบุอีกว่ามีหลายหน่วยงานสนับสนุนเนื้อหาและมีความใกล้เคียงกัน ซึ่งถือว่าบิดเบือนอย่างมาก
“ในฐานะภาคประชาสังคมจะไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปแน่นอน ภาคประชาสังคมไม่ใช่หน่วยงานของรัฐดังนั้นควรจะให้อิสระในการดำเนินงาน การตรวจสอบก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่วิจารณ์ไม่ได้ ในทางสากลประเทศที่พัฒนาแล้วต่างส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคประชาสังคมเข้ามาทำงานและเติบโต ซึ่งเป็นการช่วยภาครัฐอุดช่องว่างที่หน่วยงานของรัฐเข้าไม่ถึงหรือมีข้อจำกัด ทุกวันนี้ควรยอมรับว่ามีเรื่องมากมายที่รัฐเองก็รับมือไม่ไหว” นางสุนี
ด้านนายมณเฑียร บุญตัน สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่าในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ที่มีส่วนร่วมในการผลักดัน และติดตาม รู้สึกผิดหวังอย่างมากที่ ครม.อนุมัติหลักการของร่างกฎหมายอีกฉบับเข้ามาด้วย ซึ่งว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน ที่เป็นกฎหมายควบคุมองค์กรภาคประชาสังคม แต่ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายยาวนานในการทำงานเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา กลับไม่ได้เป็นร่างหลักแต่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของกฎหมายที่จะนำมาพิจารณา ขณะเดียวกันร่างพระราชบัญญัติอีกฉบับกลับเกิดขึ้นมาโดยที่ไม่มีที่มาและเป็นกฎหมายที่ควบคุมมากกว่าส่งเสริม
“ในฐานะที่ติดตามกฎหมายฉบับนี้มาตั้งแต่ต้น ต้องตั้งคำถามกับมติ ครม.ครั้งนี้ และจะปฏิบัติตามกรอบหน้าที่ของ สว.ในการตั้งกระทู้หรือสอบถามไปยังรัฐบาลต่อเจตนารมย์ของกฎหมายฉบับนี้ต่อไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนจะดำเนินการอย่างไร และหวังว่าจะมีการชี้แจงว่าเกิดอะไรขึ้นในการผลักดันกฎหมายและคาดหวังอะไรจากภาคประชาสังคมกันแน่” นายมณเฑียร กล่าว
(ข่าวประกอบ : ครม.เคาะร่าง พ.ร.บ.องค์กรไม่แสวงหากำไรฯ กำกับดูแลเอ็นจีโอให้ถูกต้อง-โปร่งใส)
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage