นักวิชาการชี้ 13 ปี พ.ร.บ.คุมสุราฯ ประสิทธิภาพกฎหมายยังไม่เต็มร้อย ติดปัญหาที่การบังคับใช้ แนะเฝ้าระวังโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ หลังพบแฝงสินค้าอยู่ในเพจรีวิวต่างๆ
......................................................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2564 สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ร่วมกับเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา และภาคีเครือข่ายฯ จัดงาน 'ธุรกิจแอลกอฮอล์กับปัญหาเชิงโครงสร้าง และการควบคุมที่เป็นธรรม' ครบรอบ 13 ปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดย ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาการสุขภาพ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และนักวิชาการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เป็นหนึ่งในกฎหมายที่มีเนื้อหาครอบคลุมมาตรการที่องค์การอนามัยโลกแนะนำมากที่สุดฉบับหนึ่ง เมื่อเทียบกับกฎหมายลักษณะเดียวกันในประเทศอื่นๆ
ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวย้ำว่า พ.ร.บ.ดังกล่าว ประกอบด้วย มาตรการจำกัดการเข้าถึง จำกัดกิจกรรมการตลาด รวมถึงการบำบัดรักษาผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระบุไว้อย่างกว้างๆ พ.ร.บ.นี้ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สุด ที่ช่วยควบคุมกิจกรรมของภาคธุรกิจเหล้าเบียร์ และปกป้องประชาชนจากภัยของแอลกอฮอล์ ทำให้อัตราการดื่มไม่เพิ่มขึ้น และมีสัดส่วนผู้ดื่มลดลงในการสำรวจจำนวนผู้ดื่มครั้งล่าสุดเมื่อปี 2560
ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาที่ยังคงมีอยู่ คือ การบังคับใช้กฎหมายขาดความเข้มข้น สม่ำเสมอ ขาดการบังคับใช้กฎหมายที่ดี ประชาชนต้องรู้สึกว่าหากทำผิด 4 ครั้ง มีโอกาสถูกจับ 1 ครั้ง ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าโอกาสฝ่าฝืนกฎหมาย แล้วโดนดำเนินคดีนั้นน้อยกว่านี้มาก นอกจากนี้กระแสของสังคมที่ไปทางเสรีนิยมมากขึ้น ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปเข้าใจว่ามาตรการกฎหมายฉบับนี้ จำกัดเสรีภาพในการใช้ชีวิต มีความจำเป็นที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและภาคประชาสังคมต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่า กฎหมายฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อควบคุมกิจกรรมของกลุ่มทุนแอลกอฮอล์ เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพในการที่จะมีสุขภาพที่ดี เป็นการปลดแอกประชาชนจากอิทธิพลของทุนใหญ่
นพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า กฎหมายบังคับใช้มา 13 ปี มีทั้งความสำเร็จและหลายเรื่องยังไปไม่ถึงไหน กฎหมายออกมาดี แต่เวลาจะบังคับใช้ จะมีปัญหาเรื่องหลักฐานที่นำมาประกอบ มีการตีความว่าใช้อำนาจ เช่น ตรวจจับร้านค้ารายย่อยที่โฆษณาผิดกฎหมาย และล่าสุดมีกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์บังคับใช้ตั้งแต่ 7 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สิ่งสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ กลไกในระดับจังหวัดต้องขับเคลื่อนให้มาก ทำงานในพื้นที่ให้ชัดเจน บังคับใช้กฎหมายโดยที่ไม่ต้องรออาศัยอำนาจจากส่วนกลาง สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ คนที่บังคับใช้กฎหมาย คนดำเนินการต่อ ต้องเข้าใจตรงกัน เพราะมีหลายกรณีที่เข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายคลาดเคลื่อน นอกจากนี้ต้องสร้างการเรียนรู้ให้เข้าใจในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้อง อาศัยอำนาจการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
นพ.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า การบังคับใช้กฎหมายยังเป็นข้อด้อยประสิทธิภาพ ยังไม่เต็มร้อย จะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างของกฎหมาย เพื่อให้ทันภาคธุรกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก หากเทียบกับสหรัฐอเมริกาแล้ว ไทยมีจุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าด้วยซ้ำ อีกทั้งในแง่ของการจดทะเบียน การรับรู้และเข้าถึงมันสะดวกง่ายดายมาก
นพ.ทักษพล ธรรมรังสี ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ถือว่าเป็นกฎหมายฉบับแรกในประเทศ เกิดขึ้นเพื่อลดปัญหาผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ความคลุมเครือของเนื้อหาจึงควรจะปรับปรุงทำให้เข้มแข็งมากขึ้น โดยเฉพาะการโฆษณาที่ข้ามพรมแดน หรือโฆษณาตราเสมือนต่างๆ รวมถึงการปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้โฆษณา ดังนั้นควรรื้อมาตราที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารการตลาด อีกทั้งยังพบการละเมิดกฎหมายจำนวนมาก โครงสร้างพื้นฐานและกระบวนการยังน้อยไปที่จะขับเคลื่อนการบังคับใช้กฎหมายให้เห็นชัด
นพ.ทักษพล กล่าวอีกว่า กฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์หรือมีอิทธิพลได้ ต้องมี 3 ปัจจัย คือ 1.ความแรงของบทลงโทษ แต่กฎหมายนี้มีโทษที่แรงอยู่แล้ว 2.ความสม่ำเสมอเป็นมาตรฐานเดียวกันของการบังคับใช้กฎหมาย และ 3.ความรวดเร็ว คือ ถ้าทำผิดกฎหมายแล้วใช้เวลา อีก 3 - 5 ปี ในการลงโทษ ความเข้มแข็งตรงนี้จะน้อยลง ทั้งที่การทำผิดมันมีเยอะมาก มากกว่า อย.ที่เขาจับผู้ทำผิดได้ทุกเดือนด้วยซ้ำไป พร้อมฝากไปยังธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้คิดถึงความชอบธรรมต่อสังคม แอลกอฮอล์จะอยู่ภายใต้ยี่ห้อไหน แบรนด์ใด รูปแบบใด มันส่งผลกระทบต่อสังคม มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ มีผลกับต้นทุนมนุษย์ มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตในประเทศหรือต่างประเทศ พึ่งพาสื่อโซเชียลในการทำตลาด ธุรกิจควรมีความยุติธรรมกับสังคม เพราะเป็นต้นเหตุใหญ่ที่ก่อปัญหา กระทบทั้งผู้ดื่มและไม่ได้ดื่ม หรือที่เรียกว่าแอลกอฮอล์มือสอง ที่ต้องควักกระเป๋าตัวเองเพื่อมาจ่ายในสิ่งที่ไม่ได้ทำ
ขณะที่ นายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์โควิด ทำให้รัฐมีมาตรการลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด ทั้งการปิดสถานบันเทิง การห้ามขาย การลดเวลาขาย ส่งผลให้ธุรกิจแอลกอฮอล์ หันไปใช้การสื่อสารโฆษณาผลิตภัณฑ์ผ่านออนไลน์ ทั้งในรูปแบบเพจรีวิว เพจชื่อผลิตภัณฑ์ ทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ส่วนกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์ หลังบังคับใช้ถือว่า ผู้ประกอบการร้ายย่อยต่างให้ความร่วมมือดี
จากผลสำรวจจากเพจสื่อสารทางออนไลน์ของผู้ประกอบการ ผับ บาร์ ร้านอาหาร กว่า 5 พันแห่งทั่วประเทศ พบว่าร้อยละ 80 ทำถูกต้องตามกฎหมาย แต่กลับพบว่า เพจของผลิตภัณฑ์ และเพจรีวิวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีการทำผิด เกือบทั้งหมด นี่คือสิ่งยืนยันว่า ธุรกิจรายย่อย ให้ความร่วมมือ ทำการค้าขายเคารพกฎหมาย แต่ธุรกิจใหญ่ เจ้าของผลิตภัณฑ์ อาศัยทุกช่องทางในการทำผิดกฎหมาย
นายคำรณ กล่าวด้วยว่า ปัญหาเรื่องการฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นกลไกที่กำหนดไว้ชัดเจนตามกฎหมายฉบับนี้ พบว่ายังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร คนติดเหล้ายังไม่มีช่องทางที่ชัดเจนในการเข้ารับการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ และสิ่งที่อยากฝากไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายคือให้เร่งดำเนินคดีกับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะคดีที่ใกล้หมดอายุความ
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage