'อนุทิน' ประกาศความพร้อม 1 ม.ค. 64 เดินหน้าบริการ “โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม” กระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ เครือข่ายโรงเรียนแพทย์ และ สปสช. ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือพัฒนาระบบ จัดบริการรองรับ ดูแลผู้ป่วยมะเร็งอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานเพิ่มขึ้น อำนวยความสะดวก ลดการรอคอย และรักษาต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว
................................
ที่โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการฯ – เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ “โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ เครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการร่วมพัฒนาระบบบริการเพื่อดูแลผู้ป่วยมะเร็ง โดยมีนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นสักขีพยาน
นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง เพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นและลดภาวะล้มละลายของครัวเรือนจากค่ารักษาพยาบาลที่เห็นผลเป็นรูปธรรม พร้อมสนับสนุนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยบริการ “โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหน ก็ได้ที่พร้อม” เริ่มในวันที่ 1 มกราคม 2564 นี้ เป็น 1 ใน 4 บริการใหม่ตามนโยบาย “ยกระดับบัตรทอง สู่ระบบหลักประกันสุขภาพยุคใหม่” ที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้เห็นชอบเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2563 เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน เป็นอีกหนึ่งความท้าทายในก้าวย่างที่สำคัญของระบบบัตรทอง จากความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ เครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย และ สปสช. ได้นำมาสู่การลงนามบันทึกความร่วมมือในวันนี้
จุดเริ่มต้นของนโยบายนี้ เนื่องจากโรคมะเร็งเป็นภาวะเจ็บป่วยที่ซับซ้อนและต้องรับการรักษาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ลุกลาม โดยโรคมะเร็งบางชนิดรักษาให้หายขาดได้ถ้าได้รับบริการทันท่วงที แต่ที่ผ่านมาด้วยขั้นตอนการส่งตัวบางครั้งอาจทำให้การเข้าถึงการรักษาล่าช้าและเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ปัญหาจนนำมาสู่นโยบายนี้ ไม่เพียงแต่เพิ่มความสะดวกในการเข้ารับบริการให้กับผู้ป่วยมะเร็ง ลดระยะเวลาการรอคอย แต่ยังทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานเพิ่มขึ้น ได้รับการรักษาต่อเนื่องโดยไม่ต้องมีใบส่งตัว
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละ 122,757 ราย และเสียชีวิตปีละ 80,665 ราย จากนโยบายโรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม กระทรวงสาธารณสุขได้จัดเตรียมระบบบริการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งในเขตสุขภาพทั้ง 13 เขต โดยปรับระบบบริการให้สอดคล้องกับบริบท ศักยภาพ และทรัพยากรที่มีในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรองรับนโยบายดังกล่าวได้ และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งสามารถเลือกไปรับการรักษาในหน่วยบริการใกล้บ้านที่มีความพร้อมและมีศักยภาพในการให้บริการโรคมะเร็ง แพทย์ผู้วินิจฉัยจะส่งข้อมูลผู้ป่วยมายังศูนย์ประสานการส่งต่อโรคมะเร็ง เพื่อจัดหาโรงพยาบาลที่มีศักยภาพรักษามะเร็ง และไม่แออัดให้แก่ผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีคุณภาพมาตรฐาน ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลาการรอคอยในการรับบริการรักษา และได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัวเหมือนในอดีต
นอกจากนี้กรมการแพทย์ โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้พัฒนาโปรแกรม Thai Cancer-based เป็นเครื่องมือช่วยส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้แพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยแบบไร้รอยต่อ รวมทั้งพัฒนาแพลทฟอร์ม The ONE ช่วยสืบค้นข้อมูลและประเมินศักยภาพการให้บริการของโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ โดยโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศสามารถจองคิวการตรวจทางรังสีวินิจฉัย จองคิวการรักษาด้วยรังสีรักษาและเคมีบำบัดผ่านแพลทฟอร์มนี้ได้โดยตรง นอกจากนี้ยังได้พัฒนาโปรแกรม DMS Bed Monitoring เพื่อใช้บริหารจัดการเตียง รวมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชัน DMS Telemedicine ที่ใช้นัดคิวเพื่อขอรับคำปรึกษาทางไกลจากแพทย์ (Tele-Consult) ในการนัดรับยา โดยผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีหน่วยบริการรักษาโรคมะเร็งในระบบกระจายทั่วทุกเขต เป็นหน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านรังสีรักษา 36 แห่ง และหน่วยบริการรับส่งต่อทั่วไปด้านเคมีบำบัด 164 แห่ง เพื่อให้บริการผู้ป่วยโรคมะเร็ง และในปีงบประมาณ 2563 ที่ผ่านมา หลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้สนับสนุนการจัดบริการยาเคมีบำบัดที่บ้าน (Home chemotherapy) สำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ ปัจจุบันมีหน่วยบริการที่ให้บริการยาเคมีบำบัดที่บ้าน 7 แห่ง คือ โรงพยาบาลรามาธิบดี สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลมะเร็งชลบุรี และโรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี นอกจากนี้ สปสช. ได้เตรียมระบบการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมเพื่อรองรับนโยบายดังกล่าว
นโยบายโรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อมเกิดจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ เครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย และ สปสช. โดยมีเครือข่ายภาคประชาชนจะเป็นกลไกสำคัญในสื่อสารข้อมูล ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข และช่วยขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขและระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ก้าวหน้าต่อไป
น.ส.ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายมะเร็งไทย (Thai Cancer Society) เปิดเผยว่า การจัดระบบบริการโรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อมสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2564 ในฐานะเครือข่ายผู้ป่วยต้องขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้มีนโยบายออกมาช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง สอดคล้องกับนโยบายเดิมที่ว่าใกล้บ้านใกล้ใจ ซึ่งผลักดันให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาในเขตพื้นที่บริการใกล้บ้าน โดยมีญาติคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ