'ศูนย์วิจัยกสิกรไทย' ประเมินกำไรแบงก์ไตรมาส 1/63 ลดเหลือ 3.79-3.95 หมื่นล้านบาท หดตัว 25-28% เมื่อเทียบปีก่อน แต่ยังไม่ใช่จุดต่ำสุด เหตุยังได้รับผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ พร้อมคาดไตรมาส 2/63 กำไรแบงก์ร่วม 50%
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากภาวะแวดล้อมที่อ่อนแอของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 มีผลกระทบต่อรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ ทั้งการปล่อยสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ และอาจมีผลกดดันมากขึ้นกว่านี้ในช่วงไตรมาสที่ 2/63 ซึ่งเป็นช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศส่วนใหญ่ ต้องหยุดชะงักลง เพื่อให้ทางการสามารถควบคุม/สกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า กำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทยในไตรมาส 1/63 จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาส โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/63 จะอยู่ที่ 3.79-3.95 หมื่นล้านบาท (ประเมินจากข้อมูลตามมาตรฐานบัญชีเดิม ก่อน TFRS9) ลดลงประมาณ 25-28% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/62 โดยเป็นผลมาจากฐานเปรียบเทียบที่สูงของช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีการบันทึกรายการกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุน
"แม้กำไรของระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยจะลดลง แต่เงินกองทุนของระบบธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และมีอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (LCR) ที่สูงถึง 175.28%" ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ที่ลดลงในไตรมาสแรก หลักๆเป็นผลมาจากการปรับตัวลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิตามการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในไตรมาส 1/63 ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะหดตัวลงประมาณ 4.5-5.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 1.0-1.5% ซึ่งจะมีผลกดดันต่อเนื่องต่ออัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) ให้มีแนวโน้มชะลอลงมาที่ 2.67-2.70% จากระดับ 2.74% ในไตรมาสที่ 4/62
สำหรับอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ คาดว่า จะชะลอลงเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันมาอยู่ที่กรอบ 4.27-4.29% (จาก 4.38% และ 4.49% ในไตรมาส 4 และไตรมาส 3 ของปี 2562 ) ขณะที่สินเชื่อในไตรมาสแรกเติบโตในระดับต่ำตามสัญญาณการเบิกใช้สินเชื่อระยะสั้นเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน และการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยบางประเภทก่อนช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไทยไตรมาส 1/63 จะขยายตัวในกรอบ 2.2-2.5% จาก 2.3% ในช่วงปลายปี 2562
นอกจากนี้ แรงกดดันต่อแนวโน้มธุรกิจและเศรษฐกิจในภาพรวม ยังมีผลต่อเนื่องมาที่ประเด็นคุณภาพหนี้ โดยเฉพาะ SMEs และลูกค้าในพอร์ตรายย่อย อาทิ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของระบบธนาคารพาณิชย์ (NPLs Ratio) ในไตรมาส 1/63 มีโอกาสขยับขึ้นมาที่ 3.25-3.45% ต่อสินเชื่อรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย และสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ จากระดับ 2.98% ในไตรมาส 4/62
"ในไตรมาสแรกของปี 2563 ธนาคารพาณิชย์จะยังคงมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อ (Credit Cost) อยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 1.50%" ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้ภาพการชะลอตัวของผลประกอบการในไตรมาส 1/63 แต่ยังไม่ใช่จุดที่ต่ำสุดของปีนี้ เพราะยังคงมีผลกระทบเพิ่มเติมการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ผู้ประกอบการ SMEs และรายย่อย ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2/63 เบื้องต้นคาดว่า กำไรสุทธิไตรมาส 2/63 จะลดลงมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะธนาคารพาณิชย์ยังคงเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียวอยู่ แม้จะได้รับการผ่อนภาระทางการเงินบางส่วนลงจากการลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF)
ขณะเดียวกัน มาตรการพักหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยกับสินเชื่อ SMEs และรายย่อยในกรอบประมาณ 3-6 เดือน น่าจะทำให้รายได้ดอกเบี้ยรับตั้งแต่ในไตรมาส 2/63 ลดลงตามขนาดของสินเชื่อที่เข้าร่วมโครงการ ยกตัวอย่างเช่น การเลื่อนกำหนดชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยออกไปเป็นการทั่วไปสำหรับ SMEs ที่เป็นลูกหนี้ปกติที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท จะมีผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของรายได้ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยในแต่ละไตรมาส
นอกจากนี้ ยังมีผลจากการพักชำระหนี้จากพอร์ตสินเชื่ออื่นๆ และรายได้ดอกเบี้ยรับที่จะต่ำลงจากการปล่อย Soft Loan ตามโครงการที่ร่วมมือกับภาครัฐ นั่นหมายความว่า แม้สินเชื่ออาจจะยังไม่หดตัวในระยะอันใกล้ แต่ก็จะไม่สร้างรายได้ดอกเบี้ยรับตามสภาวะที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม การผ่อนปรนมาตรการจัดชั้นหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการไหลตกชั้นของสินเชื่อมาสู่สินเชื่อด้อยคุณภาพที่จะมีผลต่อเนื่องมายังค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ แต่เพื่อเป็นการรับมือกับคุณภาพสินเชื่อในเชิงรุก คาดว่าธนาคารพาณิชย์ไทยหลายแห่งอาจยังคงมีแนวทางการตั้งสำรองในเชิงรุกต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่ามีความสามารถที่เพียงพอในการรองรับปัญหาคุณภาพหนี้ในปีถัดๆ
โดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดมาตรการผ่อนปรนของ ธปท. ซึ่งปัจจัยนี้เอง จะเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่กดดันผลประกอบการของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง และอาจทำให้แม้ว่าการประคองผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/63 จะมีความท้าทายกว่าไตรมาสแรก แต่อาจยังไม่ใช่จุดต่ำสุดของผลประกอบการในปีนี้เช่นกัน เช่นเดียวกับการติดตามปัจจัยด้านการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่าจะยืดเยื้อออกไปเพียงใด ซึ่งจะมีผลต่อรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารทั้งรายได้จากการปล่อยสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียม
"ด้วยฐานทุนที่เข้มแข็ง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง หรือ BIS Ratio ณ สิ้นปี 2562 อยู่ที่ 19.3% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด อัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ หรือ NPLs Coverage Ratio ณ สิ้นไตรมาส 1/63 ก็คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงที่กว่า 134% สถานะสภาพคล่องที่อยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงการบริหารความเสี่ยงที่ระมัดระวัง ทำให้คาดว่าระบบธนาคารพาณิชย์ไทยสามารถรับมือกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในรอบนี้ และยังคงยืนหยัดในการทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงิน และการช่วยเหลือลูกค้าให้ผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกันได้" ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/