
กสม.พิจารณากรณีฝ่ายปกครอง นนท์จับกุมชาวเวียดนามผู้ลี้ภัย 65 รายไม่ละเมิดสิทธิ์ ชี้มีการแจ้งให้ทราบ ให้ล่ามแปลภาษาสื่อสาร ให้สิทธิ์ต่างๆ รวมถึงเอาเด็กไปฝากบ้านพักตามเกณฑ์ แต่แนะนำให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 10 ตุลาคม 2568 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ระบุว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง จังหวัดนนทบุรี (ผู้ถูกร้อง) ได้จับกุมกลุ่มบุคคลสัญชาติเวียดนามกลุ่มชาติพันธุ์มองตานญาด (Montagnards) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยหรือผู้ขอสถานะผู้ลี้ภัย ทั้งหมด 65 คน ในจำนวนดังกล่าวมีเด็ก 15 คน นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ถูกจับกุม 7 คน ที่อยู่ระหว่างได้รับอนุญาตให้ประกันตัวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้ร้องเห็นว่ากระบวนการจับกุมและควบคุมตัวในกรณีนี้อาจมีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงขอให้ตรวจสอบ
นายวสันต์กล่าวว่า จากการพิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่าบุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การจับกุมและการคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งการค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิตและร่างกายจะกระทำมิได้ สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกัน และปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 2565 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
จากกรณีตามคำร้อง นายวสันต์กล่าวว่า มีประเด็นที่ต้องพิจารณาแยกเป็น 3 ประเด็น
@จับกุมแจ้งสิทธิ์-หาล่ามสื่อสาร-แจ้งนายอำเภอทราบ ไม่ละเมิดสิทธิ์
ประเด็นแรก เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง จังหวัดนนทบุรีได้กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ถูกจับกุมในการจับกุมและควบคุมตัวขัดต่อพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 2565 หรือไม่ อย่างไร เห็นว่า ในการจับกุมและควบคุมตัว เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองได้แจ้งให้ผู้ถูกจับกุมทราบถึงสิทธิพึงได้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ อีกทั้งยังจัดให้มีล่ามซึ่งเป็นคนเวียดนามที่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้เป็นอย่างดี และจัดหาทนายความเพื่อให้คำแนะนำด้านกฎหมาย รวมถึงมีการบันทึกภาพและเสียงพร้อมทั้งบันทึกข้อมูลผู้ถูกควบคุมตัวในแบบฟอร์ม ปท.1 ซึ่งไม่ปรากฏพฤติการณ์หรือหลักฐานใดที่แสดงถึงการใช้ความรุนแรง หรือข่มขู่ผู้ถูกจับกุมเพื่อให้รับสารภาพ นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องได้รายงานการควบคุมตัวและแนบคลิปวิดีโอให้นายอำเภอบางใหญ่และพนักงานอัยการทราบแล้ว ตามแบบฟอร์มใบรับแจ้งการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่รัฐ และระบบรับแจ้งการควบคุมตัวของสำนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี แม้การจับกุมและควบคุมตัวในกรณีตามคำร้องเป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย รวมถึงเสรีภาพในการเดินทาง แต่เมื่อเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง จังหวัดนนทบุรีทำไปภายใต้กฎหมายที่ให้อำนาจ และมิได้ทำให้บุคคลที่ถูกจับกุมและควบคุมตัวได้รับบาดเจ็บหรือเสียหาย การกระทำของผู้ถูกร้องจึงเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพตามกฎหมาย ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง จังหวัดนนทบุรีกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
@จับกุมคนได้รับประกันตัวไม่ละเมิดสิทธิ์ เพราะมีการปล่อยตัวแล้ว
นายวสันต์กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่ 2 กรณีเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง จังหวัดนนทบุรีจับกุมและควบคุมตัวผู้ที่เคยถูกดำเนินคดีและอยู่ระหว่างได้รับการประกันตัวจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เห็นว่า เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง จังหวัดนนทบุรีจับกุมและควบคุมตัวบุคคลสัญชาติเวียดนามในขณะที่พบเห็นซึ่งหน้า โดยผู้ถูกจับกุมและควบคุมตัวไม่ได้แสดงหลักฐานให้เห็นว่าเป็นผู้ที่เคยถูกดำเนินคดีมาก่อนแล้ว ต่อมาพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรบางใหญ่ ตรวจสอบแล้วพบว่า มีผู้ถูกจับกุม 7 คน เคยถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันมาแล้ว และอยู่ระหว่างได้รับการประกันตัวแล้วตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนจึงได้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นการดำเนินการซ้ำซ้อนและไม่อาจกระทำได้ตามกฎหมาย ตามหลักการสากลในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มุ่งคุ้มครองผู้กระทำความผิดไม่ให้ต้องได้รับการลงโทษซ้ำสองในความผิดเรื่องเดียวกัน (หลักการ Ne bis in idem) ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
@ไม่ละเมิดเด็ก เพราะส่งให้บ้านพักเด็ก
ส่วนประเด็นที่ 3 นายวสันต์กล่าวว่า เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง จังหวัดนนทบุรีกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อเด็กจากการเข้าจับกุมกลุ่มชาติพันธุ์มองตานญาด หรือไม่ เห็นว่า ผู้ถูกร้องได้ประสานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดนนทบุรีเพื่อคัดแยกผู้ถูกจับกุมที่มีเด็กติดตามมาด้วย จำนวน 15 คน ในจำนวนดังกล่าวมีเด็ก 3 คน ถูกส่งตัวไปยังบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดนนทบุรี เพราะผู้ปกครองอยู่ในสถานภาพที่ไม่สามารถอุปการะเลี้ยงดูเด็กได้ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ได้ประเมินสุขภาพจิตและพัฒนาการของเด็กแล้ว พบว่ามีพัฒนาการที่ดีตามวัย ไม่มีภาวะซึมเศร้าหรือภาวะทางจิต สำหรับเด็กที่มีความจำเป็นต้องติดตามมารดาไปยังห้องกัก เนื่องจากยังอยู่ในวัยที่ต้องได้รับการดูแลจากมารดาอย่างใกล้ชิด ได้จัดให้เด็กเข้าพักในศูนย์แรกรับแม่และเด็กซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเด็กมากกว่าการแยกเด็กออกจากมารดา
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ประเมินแล้วเห็นว่า ศูนย์ดังกล่าวมีความพร้อมในการดูแลเด็ก สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ดี กสม. มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า มีกลุ่มบุคคลสัญชาติเวียดนามจำนวนมากซึ่งถือบัตรประจำตัวผู้ลี้ภัยออกโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ที่พักอาศัยในประเทศไทยระหว่างรอเดินทางไปประเทศที่สาม แต่เข้าประเทศมาโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย แม้จะมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีวัตถุประสงค์แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสถานภาพทางกฎหมายของคนต่างด้าวดังกล่าวในประเทศไทยที่ไม่สามารถหรือไม่สมัครใจเดินทางกลับไปยังประเทศอันเป็นภูมิลำเนาของตน แต่ในทางปฏิบัติการเข้าสู่กระบวนการดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของบุคคลเป็นสำคัญ และอาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะเวลาที่นานพอสมควรในการพิจารณา นอกจากนี้ แม้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ได้บัญญัติหลักการห้ามส่งกลับ (non - refoulement) ไว้แล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนต่อผู้แสวงหาที่พักพิงหรือผู้ลี้ภัยที่เข้ามาพำนักในประเทศไทย รวมถึงเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติงานยังขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสถานะและสิทธิของผู้ถือบัตร UNHCR อันอาจนำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม และมีความสุ่มเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้

วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
@แนะกรมปกครอง-ตร.-UNHCR ให้ความรู้และแนวปฏิบัติแก่เจ้าหน้าที่
ด้วยเหตุผลดังกล่าว นายวสันต์กล่าวว่าในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังกรมการปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ร่วมกันให้ความรู้ และความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับสถานะและสิทธิของผู้ถือบัตร UNHCR รวมถึงกำหนดแนวปฏิบัติและแนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อป้องกันปัญหาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อาจกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของผู้ถือบัตรดังกล่าวให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ร่วมกันกำหนดแนวทางการปฏิบัติให้สอดคล้องกับพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ พ.ศ. 2565 โดยเฉพาะมาตรา 13 และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำหนดแนวทางการปฏิบัติให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562
ทั้งนี้ สำนักงาน กสม. จะส่งรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนฉบับนี้ไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ พ.ศ. 2565 ด้วย ทั้งนี้ ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนระหว่าง กสม. กับสำนักงานอัยการสูงสุด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา