‘สมาคมค้ายาสูบไทย’ ชี้สถานการณ์ปัญหา ‘บุหรี่เถื่อน’ ยังมีความรุนแรง ทำ ‘ท้องถิ่น’ สูญเสียรายได้ 2.4 พันล้าน/ปี วอนรัฐบาลยกระดับการแก้ปัญหา ‘บุหรี่เถื่อน’ เป็นวาระแห่งชาติ
....................................
จากกรณีกรมสรรพสามิตรายงานผลการปราบปรามยาสูบผิดกฎหมายปีงบประมาณ 2567 ซึ่งจับกุมได้ 13,170 คดี เพิ่มขึ้นประมาณ 60% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นค่าปรับ 361.73 ล้านบาท และประมาณการค่าปรับ 2,334.40 ล้านบาท โดยมีจำนวนของกลางแบ่งเป็นยาสูบในประเทศ 301,961 ซอง และยาสูบต่างประเทศ 2,579,434 ซอง นั้น
น.ส.ธัญญศรัณ แสงทอง ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้ายาสูบไทย เปิดเผยว่า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า บุหรี่เถื่อนยังเป็นปัญหาที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนครั้งการจับกุม จำนวนมวน และมูลค่าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจ สังคม ในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ จึงขอเสนอให้รัฐบาลช่วยยกระดับการแก้ปัญหาให้เป็นวาระระดับชาติ
“บุหรี่เถื่อนส่วนใหญ่ลักลอบมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งทางบกและทางทะเล หวังหลีกเลี่ยงภาษี และนำมาขายในประเทศในราคาที่ถูกกว่าบุหรี่ถูกกฎหมายแบบหลายเท่าตัว คนก็ยิ่งเข้าถึงง่าย ส่งผลให้มาตรการควบคุมบุหรี่ที่ต้องการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ใช้ไม่ได้ผล นอกจากนี้ ร้านค้าที่ขายบุหรี่ถูกกฎหมายในประเทศกว่า 5 แสนราย ยังได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ โดยเฉพาะร้านค้าในภาคใต้ที่รายได้ต่อวันจากการขายสินค้าลดลงเฉลี่ย 700-1,400 บาท เนื่องจากลูกค้าหันไปซื้อบุหรี่เถื่อนซึ่งมีราคาถูกกว่าจากร้านค้าที่ผิดกฎหมายแทน” น.ส.ธัญญศรัณ กล่าว
น.ส.ธัญญศรัณ ระบุด้วยว่า ปัญหาบุหรี่เถื่อน ยังส่งผลกระทบต่อรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ขาดหายไป เพราะบุหรี่ทุกๆ 1 ซอง ต้องเสียภาษีเพื่อมหาดไทยในอัตรา 10% จากภาษีสรรพสามิต หรือประมาณซองละ 4 บาท (ราคาบุหรี่ซองละ 75 บาท) และบุหรี่ถูกกฎหมายที่ขายในต่างจังหวัดต้องเสียภาษีให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพิ่มอีก 1.86 บาทต่อซอง ซึ่งในแต่ละปีภาษี 2 ก้อนนี้หายไปกว่า 2,400 ล้านบาท จากการเติบโตของบุหรี่เถื่อน
ทั้งนี้ ข้อมูลจากอุตสาหกรรมยาสูบ ระบุว่า ณ สิ้นปี 2566 มีบุหรี่เถื่อนมีสัดส่วนถึง 25.5% เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดโดยจังหวัดที่พบบุหรี่เถื่อนมากที่สุดยังคงเป็น จ. สงขลา 90% สตูล 88% พัทลุง 75% และภูเก็ต 74%
ขณะที่ข้อมูลการจัดเก็บรายได้ภาษี อบจ. ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563-2566 โดยสำนักป้องกันบุหรี่ผิดกฎหมาย การยาสูบแห่งประเทศไทย พบว่า รายได้จากการเก็บภาษี อบจ. ทั้งบุหรี่ไทยและบุหรี่ต่างประเทศ ใน 14 จังหวัดภาคใต้ มีจำนวน 670 ล้านบาท คิดเป็น 7.9% ของรายได้จากการเก็บภาษี อบจ. ทั้งประเทศ
นอกจากนี้ เมื่อแยกเป็นรายปี พบว่าแนวโน้มการจัดเก็บภาษีบุหรี่ อบจ. ลดลงทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ จากที่จัดเก็บได้ราว 50 ล้านบาท ในปี 2563 มีอยู่ไม่ถึง 10 ล้านบาท ในปี 2566 ทั้งนี้ หากยังไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง คาดว่าปีต่อๆ ไป รายได้จากการจัดเก็บภาษี อบจ. ในพื้นที่ภาคใต้จะลดลงเรื่อยๆ ทำให้ไม่เหลือเพียงพอสำหรับนำไปพัฒนาท้องถิ่นและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่
ด้าน นายสุธรรม สุริโย สรรพสามิตพื้นที่ภูเก็ต กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหารของหน่วยงานในพื้นที่ ได้นำนโยบายของกรมสรรพสามิตด้านการปราบปรามให้ตรงกลุ่มและด้านการปกป้องสังคมมาปฏิบัติ มีการบูรณาการการปฏิบัติงานกับกรมสรรพสามิต สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 8 กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง ในด้านข้อมูลข่าวสาร มีการพบปะหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับการยาสูบแห่งประเทศไทยและสื่อมวลชนท้องถิ่น
รวมถึงได้มีการติดตามเร่งรัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามเพื่อให้มีการปราบปรามบุหรี่เถื่อนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ปัจจุบันพบว่า ผู้กระทำผิดมีจำนวนลดลง อย่างไรก็ตาม สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ภูเก็ต ได้เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยการสืบหาผู้กระทำผิดที่มีการลักลอบขายออนไลน์ มีการประสานงานด้านข้อมูลข่าวสารกับการไปรษณีย์ไทยและบริษัทขนส่งเอกชน เพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการขายยาสูบที่ชอบด้วยกฎหมายต่อไป
ก่อนหน้านี้ นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่พบบุหรี่เถื่อนมากเป็นอันดับ 4 ในภาคใต้ เคยระบุในระหว่างการแถลงข่าวจับกุมบุหรี่เถื่อนในปฏิบัติการ ‘สิงห์ทมิฬ’ ของกรมการปกครองเมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมาว่า จังหวัดภูเก็ตมุ่งมั่นดำเนินการจัดระเบียบสังคมอย่างจริงจัง พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ดำเนินการ Re X-Ray อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทุกประเภทในพื้นที่