ดีเอสไอจับกุมหญิงไทยเป็นกรรมการบริษัทนอมินีให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างชาวเกาหลีใต้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2567 ชุดปฏิบัติการที่ 4 ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ภายใต้การอำนวยการของ นายวิทวัส สุคันธรส ผู้อำนวยการศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ได้ร่วมกันจับกุม นางสาวมานิกา (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 3541/2567 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ในคดีพิเศษที่ 69/2562 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทฯ ซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดตามมาตรา 37 ของบริษัท พอสโก เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ มิได้จัดการตามสมควร เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยเจ้าหน้าที่จับกุมได้ที่บริเวณบ้านพักในแขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและรวมถึงแจ้งว่าต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมตัวจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ให้ผู้ต้องหาได้รับทราบแล้ว และได้ควบคุมตัวผู้ต้องหากลับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อส่งมอบตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก กองคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินคดีกับบริษัท พอสโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (ประเทศเกาหลีใต้) ที่ได้เข้ามาประกอบกิจการก่อสร้างในประเทศไทย โดยการซื้อกิจการและเข้าถือหุ้นในบริษัท พอสโก เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด โดยนางสาวมานิกาฯ ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ เป็นภรรยาของชาวเกาหลีใต้ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักงานรับจดทะเบียนจัดตั้งให้กับบริษัท พอสโก เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด โดยใช้ชื่อตนเองเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทพอสโก เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 ถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเกิดเหตุ มีพยานหลักฐานยืนยันว่าผู้ต้องหามีส่วนในการช่วยเหลือหรือสนับสนุน บริษัทพอสโก เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ให้ประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ซึ่งในคดีพิเศษที่ 69/2567 นี้
การสอบสวนเสร็จสิ้นมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา รวมทั้งสิ้น 12 ราย ในฐานความผิด “เป็นคนต่างด้าวร่วมกันประกอบธุรกิจ โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าว ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนฯ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นคนต่างด้าวยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าว ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนฯ หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในนิติบุคคลเพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจ โดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และเป็นกรรมการฯ รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของนิติบุคคลฯ” อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
ทั้งนี้ การดำเนินการในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีพิเศษ เป็นไปตามข้อสั่งการของพันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่กำหนดให้ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ซึ่งเป็นหน่วยงานขึ้นตรงการบังคับบัญชาจัดชุดปฏิบัติการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยเฉพาะหมายจับที่ใกล้ขาดอายุความ เพื่อนำตัวผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดที่ยังหลบหนี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป