‘อัยการคดีพิเศษ’ เตรียมยื่นฟ้อง 8 ผู้ต้องหา คดีลัก ‘เรือน้ำมันเถื่อน’ ชลบุรี 11 ก.ย.นี้ ส่วนอีก 2 ผู้ต้องหา สั่งสอบเพิ่มเติม พร้อมเลื่อนนัดฟังคำสั่งออกไปเป็นวันที่ 10 ต.ค. ขณะที่อีก 11 ราย อยู่ระหว่างจับตัวมาส่งอัยการ
.........................................
เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ที่สำนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 2 สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ นัดฟังคำสั่งในคดีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามได้ ส่งสำนวนจำนวน 6,240 เเผ่น (15 เเฟ้ม) พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องและสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางคดีในคดีเรือน้ำมันเถื่อนของกลางกว่า 3 แสนลิตร หายไปจากบริเวณท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนมีคำสั่งเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดีทั้งหมด 21 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก เป็นผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างควบคุมตัวในเรือนจำ จำนวน 8 คน โดยมีกำหนดครบฝากขังครั้งสุดท้ายในวันที่ 11 ก.ย.2567 กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการหลบหนี 11 คน และกลุ่มที่ 3 เป็นผู้ต้องหาจำนวน 2 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาลำดับที่ 20 และ 21 ซึ่งทราบนัดรับฟังคำสั่งในวันนี้ (10 ก.ย.)
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ต้องหากลุ่มที่ 3 ซึ่งพนักงานสอบสวนสั่งฟ้องในข้อหาร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดทำให้เสียหายทำลายซ่อนเร้น และยินยอมให้ผู้อื่นเปิดบัญชีเพื่อใช้ในการกระทำความผิด นั้น เนื่องจากสำนวนพนักงานอัยการมีความเห็นให้สั่งสอบสวนเพิ่มเติม จึงได้เลื่อนการทราบนัดออกไป 1 เดือน โดยนัดอีกครั้งในวันที่ 10 ต.ค.2567 เวลา 09.00 น. ดังนั้น ในวันนี้ (10 ก.ย.) หากผู้ต้องหากลุ่มที่ 3 ทั้ง 2 คน ยังไม่มารายงานตัว ก็ยังจะไม่ออกหมายจับ
สำหรับผู้ต้องหากลุ่มที่ 1 จำนวน 8 คน ซึ่งจะครบกำหนดฝากขังครั้งสุดท้ายในวันที่ 11 ก.ย.2567 นั้น พนักงานอัยการสามารถสั่งฟ้องต่อศาลฯได้ ซึ่งคาดว่าจะยื่นฟ้องได้ในวันพรุ่งนี้ (11 ก.ย.) เนื่องจากผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวตามอำนาจศาลไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนรายละเอียดจะโดนฟ้องข้อหาใดบ้างต้องรอคอนยื่นฟ้องในวันที่ 11 ก.ย.
ส่วนผู้ต้องหากลุ่มที่ 2 จำนวน 11 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการหลบหนีนั้น ตามขั้นตอนการส่งสำนวน พนักงานสอบสวนต้องแนบหมายจับไปและตำหนิรูปพรรณสัณฐานของผู้ต้องหาทั้งหมด รวมถึงความเห็นควรสั่งฟ้องส่งให้กับพนักงานอัยการ ซึ่งในส่วนนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องสืบสวนติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย ก่อนที่อัยการจะมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดี
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตำรวจน้ำกับพวก ได้ร่วมกันจับกุม นายสุนธร เขียวสุวรรณ (ผู้ต้องหาที่1) กับพวก รวม 28 คน และดำเนินคดีในข้อหา “พยายามลักลอบน้ำน้ำมันเข้ามาในราชอาณาจักรฯ” ตามคดีอาญาที่ 102/2567 ของกองบังบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)
พร้อมทั้งยึดเรือ 5 ลำเป็นของกลาง ประกอบด้วย เรือ เจ.พี. ,เรือกำไรเงิน (ซีฮอส) และเรือดาวรุ่ง ซึ่งทั้ง 3 ลำ เป็นเรือบรรทุกน้ำมันหรือเรือแทงค์เกอร์ ส่วนอีก 2 ลำ คือ เรือกำไรเงิน (เหล็ก) และ เรือ บ.โชคบุญชู 91 ซึ่งเป็นเรือที่วิ่งรับขนถ่ายน้ำมันจากเรือแท็งค์เกอร์ โดยเรือทั้ง 5 ลำ เป็นของกลางตามบัญชีของกลางลำดับที่ 49/2567 โดยเก็บรักษาของกลางไว้ที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ
ตามวันเวลาที่เกิดเหตุในคดีนี้ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2567 เวลา 20.11 น.ผู้ต้องหาที่ 1-15 ได้ร่วมกันลักเอาเรือ เจ.พี. ราคาประมาณ 2,205,000 บาท พร้อมน้ำมันดีเซลของกลาง 75,000ลิตรราคาลิตรละ 28.48 บาท คิดเป็นเงิน 2,136,000 เรือกําไรเงิน (ซีฮอส) ราคาประมาณ 800,000 บาท พร้อมน้ำมันดีเซลของกลาง จำนวน 150,000 ลิตร ราคาลิตรละ 28.48 บาท คิดเป็นงิน 4,272,000บาท และเรือดาวรุ่ง ราคาประมาณ 5,500,000 บาท พร้อมน้ำมันดีเซลของกลาง จำนวน 105,000 ลิตร ราคาลิตรละ 28.48 บาท คิดเป็นเงิน 6,848,000 บาท ความเสียหายทั้งหมดรวมเป็นเงิน 16,961,000 บาทหลบหนีไปจากทำเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ
ส่วนผู้ต้องหาที่ 15 ซึ่งมิได้เป็นผู้ร่วมกระทำผิดในคดีอาญาที่ 1002 /2567 ของ บก.ปอศ. แต่ได้ช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาที่ 1-14 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาดังกล่าว ได้ร่วมกันลักเรือทั้งสามลำพร้อมน้ำมันดีเซลของกลางหลบหนีไป จึงเป็นการเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมีให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด
ต่อมาวันที่ 16 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตำรวจน้ำ ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบเรือทั้งสามลำดังกล่าวแล่นอยู่ที่บริเวณทะเลอ่าวไทย พิกัดละติจุด 8.20 ลองจิจูดที่ 101.50 จึง เดินทางไปตรวจสอบพบผู้ต้องหาที่ 1,2,3,5,7,8,9 ,11 รวมจำนวน 8 คน อยู่บนเรือทั้งสามลำ ส่วนผู้ต้องหาที่ 4,6,10,12,13,14,15 รวมจำนวน 7 คน ซึ่งหลบหนีขึ้นเรือ SK-9 ไปก่อนแล้ว จึงควบคุมผู้ต้องหาที่พบทั้งหมดพร้อมเรือทั้งสามลำเข้าฝั่งที่ทำเทียบเรือตำรวจน้ำสงขลา
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2567 เวลา 20.00 น. จากการตรวจสอบพบว่าน้ำมันดีเชลของกลางที่บรรทุกอยู่เรือ เจ.พี. จำนวน 75,000 ลิตร คงเหลือ 3,600 ลิตร น้ำมันหายไป 71,400 ลิตรๆละ 28.48 บาท คิดเป็นเงิน 2,033,472 บาท น้ำมันดีเซลของกลางที่บรรทุกอยู่ในเรือกำไรเงิน (ซีฮอส) จำนวน 150,000 ลิตร คงเหลือ 1,290 ลิตร หายไปจำนวน 148,710 ลิตรๆ ละ 28.48 ลิตร คิดเป็นเงิน 4,235,260.8 บาท
และน้ำมันดีเซลของกลางที่บรรทุกอยู่ในเรือดาวรุ่ง จำนวน 105,000 ลิตรๆละ 28.48 บาท หายไปทั้งหมดคิดเป็นเงิน 2,990,400 รวมน้ำมันของกลางหายไป 325,110 ลิตร มูลค่าความเสียหายไม่ได้รับคืน 9,259,132.8 (ได้รับเรือและน้ำมันของกลางบางส่วนคืนมูลค่า 7,501,867.20 บาท)
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกรวม 8 คน ตามหมายจับของศาลอาญา พร้อมยึดเรือทั้งสามลำและน้ำมัน ดีเซล และเครื่องวิทยุสื่อสารและเครื่องดาวเทียมนำทางเป็นของกลาง นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม ดำเนินคดี
จากการสืบสวนสอบสวนทราบว่าคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 16-19 ร่วมกันวางแผนใช้ให้ผู้ต้องหาที่1 กับพวก ลักเรือพร้อมน้ำมันของกลางตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.2567 โดยนำเงินที่ได้จากการค้าน้ำมันเถื่อนที่ลูกค้าโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 21 แล้วโอนไปซื้อเครื่องวิทยุสื่อสารขนาดใหญ่และเครื่องดาวเทียมนำทาง จำนวน 3 ชุด เพื่อใช้ในการหลบหนี และโอนต่อไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 20 เพื่อซื้อเสบียงอาหารใช้ ระหว่างหลบหนี
โดยผู้ต้องหาที่ 16 กับพวก ได้ควบคุมคุมสั่งการให้ผู้ต้องหาที่ 1,7 และที่ 11 เดินเรือที่ลักมาไปยังพิกัดเป้าหมายแล้วให้ยักย้ายถ่ายเทน้ำมันดีเชลของกลางไปชุกซ่อนไว้ยังเรือ SK-9 หรือแหล่งรับน้ำมันอื่นอื่น ปิดบัง ซ่อนเร้น เปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สิน ปกปิดแหล่งที่มา การได้มา ซึ่งทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ร่วมกันยักย้ายถ่ายเทน้ำมันดีเซลของกลางแล้ว
ผู้ต้องหาที่ 16 กับพวกยังได้ให้ผู้ต้องหาที่ 1,7,11 เดินเรือที่ลักมาไปยังพิกัดเป้าหมายแล้วให้ยักย้ายถ่ายเทน้ำมันดีเซลของกลางไปซุกซ่อนไว้ยังเรือ SK-9หรือแหล่งรับน้ำมัน ปิดบัง ซ่อนเร้น เปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สิน ปกปิดแหล่งที่มา การได้มา ซึ่งทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหลังจากร่วมกันยักย้ายถ่ายเหน้ำมันดีเซลของกลางแล้ว ผู้ต้องหาที่ 16 กับพวกยังได้ให้ผู้ต้องหาที่ 4,6,10,12,13,14,15 หลบหนีขึ้นเรือ SK-9 หรือเรือลำอื่นหลบหนีไป
ผู้ต้องหาที่ 16-21 จึงเป็นผู้ใช้ให้ผู้ต้องหาที่ 15 กระทำผิดฐาน เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ 14 มิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเว้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิดอีกฐานหนึ่ง เหตุเกิดที่ ตำบลบานา อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี, ตำบลท่าฉลอม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร, ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี, ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา (สถานที่บันทึกจับกุม) และหลายท้องที่เกี่ยวพันกัน ระหว่างวันที่ 2 พ.ค.2567-16 มิ.ย.2567