ป.ป.ช.ตีตกคดี 'ประยูร ลี้ไพบูลย์' อดีตนายก อบต.หวายเหนียว กาญจนบุรี กับพวก กรณีกล่าวหาเข้ามีส่วนได้เสียในการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลหวายเหนียว เมื่อปี 2549 ผลไม่ปรากฏข้อเท็จจริง ข้อกล่าวหาไม่มีมูล
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 7 แถลงข่าวคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นดำเนินการไต่สวนเบื้องต้น กรณีกล่าวหา นายประยูร ลี้ไพบูลย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี กับพวก เข้ามีส่วนได้เสียในการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลหวายเหนียว เมื่อปี พ.ศ. 2549 โดยทุจริต ผลการพิจารณาว่าการกระทำของ นายประยูร ไพบูลย์ และผู้ที่ถูกกล่าวหา 4,5,6 ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2548 - 2549 เทศบาลตำบลหวายเหนียวได้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลหวายเหนียว โดยวิธีพิเศษ และนายนนทพันธ์ ตาลเจริญ ได้เสนอที่ดินสองแปลง คือ โฉนดเลขที่ 4236 เลขที่ดิน 240 (เดิมเลขที่ดิน 13) หน้าสำรวจ 251 ตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 6-1-23.4 ไร่ และโฉนดเลขที่ 4237 เลขที่ดิน 241 (เดิมเลขที่ดิน 14) หน้าสำรวจ 252 ตำบลหวายเหนียว อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 5-3-78.6 ไร่ ให้กับเทศบาลตำบลหวายเหนียว ราคารวมทั้งสิ้น 7,742,000 บาท
และทำสัญญาซื้อขาย เลขที่ 8/2559 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2549 กับนายนนทพันธ์ ตาลเจริญ เจ้าของที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว เป็นเงิน 7,740,000 บาท และทำหนังสือสัญญาซื้อขายรวมสองโฉนด เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2549 เป็นเงิน 7,740,000 บาท ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี สาขาท่ามะกา โดยก่อนที่เทศบาลตำบลหวายเหนียวจะจัดซื้อที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว พบว่ามีการซื้อขายที่ดินเปลี่ยนมือกันสองครั้งในเวลาห่างกันไม่มาก และมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยปรากฏข้อพิรุธและพยานหลักฐานการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการมีส่วนได้เสียในที่ดินโฉนดเลขที่ 4236 ของนายเฉลียว ชินหอม ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีตำบลหวายเหนียว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และที่ดินโฉนดเลขที่ 4237 ของนางบุญยืน ชินหอม ภรรยาของผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 โดยมีนายประยูร ลี้ไพบูลย์ นายกเทศมนตรีตำบลหวายเหนียว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นผู้เสนอขอจ่ายขาดเงินสะสมจากสภาเทศบาลตำบลหวายเหนียวเพื่อจัดซื้อที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว และนำที่ดินโฉนดเลขที่ 1712 เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 47 8/10 ตารางวา มูลค่า 830,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ 48774 เนื้อที่ 2 ไร่ 92 ตารางวา มูลค่า 1,800,000 บาท
ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้จัดซื้อไว้ก่อนหน้าดำเนินโครงการดังกล่าว (เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2548 และวันที่ 10 มกราคม 2549 ตามลำดับ) เพื่อนำไปใช้เป็นที่ดินข้างเคียงเปรียบเทียบกับราคาที่ดินทั้งสองแปลงที่เทศบาลตำบลหวายเหนียวจะดำเนินการจัดซื้อ โดยมีข้อพิรุธและพฤติการณ์เชื่อได้ว่า นายเฉลียว ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 นายสมศักดิ์ ธนทวีธรรม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 นายนนทพันธ์ ตาลเจริญ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 ได้ร่วมกันอำพรางการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และขายที่ดินให้แก่เทศบาลตำบลหวายเหนียวเพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลหวายเหนียว โดยใช้บัญชีเงินฝากของนางบุญยืน ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 รับเงินค่าจัดซื้อที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว
อย่างไรก็ตามจากการไต่สวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหาแล้วที่ดินทั้งสองแปลงซึ่งนายประยูร ลี้ไพบูลย์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นำมาใช้เปรียบเทียบกับการกำหนดราคากลางสำหรับการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลหวายเหนียว เมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้น ในทางการค้าหรือการซื้อขายที่ดินเพื่อแสวงหาผลกำไร โดยการลดทุนทรัพย์ที่ระบุในสัญญาเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระภาษีการโอนกรรมสิทธิ์นั้น สามารถเกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและความสามารถของผู้ซื้อหรือผู้ขายแล้วแต่กรณี
จึงฟังได้ว่าเป็นราคาที่มีการซื้อขายเกิดขึ้นจริงในช่วงเวลานั้น ราคาในท้องตลาดยังไม่สูงกว่าราคากลางที่กำหนดไร่ละ 632,000 บาท ประกอบกับเมื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการที่เทศบาลตำบลท่ามะกาได้ซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาล เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2549 จำนวน 8 แปลง เนื้อที่รวมกัน 14 ไร่ 0.1 ตารางวา ปัจจุบันมีการรวมแปลงที่ดินเป็นโฉนดเลขที่ 47161 ตำบลท่ามะกา อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 14 ไร่ 0.1 ตารางวา ปรากกฎข้อเท็จจริงว่า เทศบาลตำบลท่ามะกาได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาในราคา 11,899,948 บาท คิดเป็นราคาไร่ละ 850,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาที่เทศบาลตำบลหวายได้ดำเนินการจัดซื้อในราคาไร่ละ 632,000 บาท
อีกทั้ง ข้อเท็จจริงจากคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวของนางบุญยืน ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ชี้ให้เห็นว่านางบุญยืน ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ไม่ทราบที่มาของการซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวและไม่ทราบรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับชำระเงินค่าที่ดินหรือการเปิดบัญชีรับเงินฝากของนายเฉลียว ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ในช่วงเวลาดังกล่าว สอดคล้องกับคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายสมศักดิ์ ธนทวีธรรม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 ซึ่งได้ชี้แจงว่า ตนได้ติดต่อซื้อขายที่ดินกับนายเฉลียว ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และชำระเงินค่าที่ดินให้แก่นายเฉลียว ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 เพียงผู้เดียว โดยเคยพบนางบุญยืน ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 เพียงครั้งเดียวในวันจดทะเบียนโอนที่ดิน และแม้ในการจัดซื้อที่ดินตามแผนงานโครงการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลหวายเหนียว ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 โดยใช้งบประมาณค่าจัดซื้อที่ดินของหน่วยงานสำนักปลัดเทศบาล ตามเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ฉบับที่ 3 ประจำปีงบประมาณ 2548 จำนวน 4,424,000 บาท และขอจ่ายขาดเงินสะสมของเทศบาลเพื่อจัดซื้อที่ดินอีกจำนวนไม่น้อยกว่า 5 ไร่ เป็นเงิน 3,321,160 บาท รวมวงเงินงบประมาณ 7,745,160 บาท
ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่า การกระทำของนายเฉลียว ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 นางบุญยืน ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 นายสมศักดิ์ ธนทวีธรรม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 และนายนนทพันธ์ ตาลเจริญ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 เข้าลักษณะเป็นการร่วมกันทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการมีส่วนได้เสียในที่ดินโฉนดเลขที่ 4236 และที่ดินโฉนดเลขที่ 4237 แต่ยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอว่า นายประยูร ลี้ไพบูลย์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นำราคาที่ดินซึ่งทำนิติกรรมอำพรางราคาที่มีการซื้อขายที่ดินหรือซื้อขายที่ดินด้วยราคาที่สูงเกินความเป็นจริง เพื่อมาเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบกับการกำหนดราคากลางในการจัดซื้อที่ดินครั้งนั้น
โดยข้อเท็จจริงอีกทางหนึ่ง รับฟังได้ว่า เทศบาลตำบลหวายเหนียวได้ดำเนินการนำราคาที่มีการซื้อขายที่ดินบริเวณนั้นมาเปรียบเทียบเพื่อความรอบคอบในกระบวนการจัดซื้อที่ดิน และนายประยูร ลี้ไพบูลย์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 พยายามนำเสนอราคาที่ดินที่ตนได้ซื้อขายในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อให้สามารถจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลหวายได้ โดยไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่า นายประยูร ลี้ไพบูลย์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ผลประโยชน์ตอบแทนใดจากการกระทำดังกล่าว แต่อย่างใด
สำหรับนายพรชัย ปิยะปราโมทย์ หัวหน้ากองช่าง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นผู้เสนอแผนงานโครงการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลหวายเหนียว โดยเห็นควรจัดหาสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงาน โดยจัดซื้อที่ดินเนื้อที่ไม่น้อยกว่า 12 ไร่ และตั้งงบประมาณในการดำเนินการไว้ราคาไร่ละ 640,000 บาท คำนวณวงเงินค่าที่ดินจากราคาประเมินที่ดินที่ติดกับถนน อัตราไร่ละ 750,000 บาท และที่ดินนอกถนนระยะ 40 เมตร มีอัตราไร่ละ 450,000 บาท แล้วนำราคาประเมินดังกล่าวมารวมกันหารด้วยสอง จนได้ค่าเฉลี่ยที่ดินไร่ละ 600,000 บาท โดยเห็นว่าอนาคตราคาที่ดินอาจสูงขึ้น จึงคำนวณราคาขึ้นอีกไร่ละ 40,000 บาท คิดเป็นวงเงินที่จะจัดซื้อที่ดินไร่ละ 640,000 บาท นั้น นายพรชัย ปิยะปราโมทย์ ได้ทำการประเมินราคา ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2548 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการตั้งงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2549 และขออนุมัติจ่ายขาดเงินสะสมในปีงบประมาณดังกล่าว
โดยกำหนดราคาให้สอดคล้องกับความต้องการของเทศบาลตำบลหวายเหนียว ที่ต้องการที่ดินในเขตเทศบาล ใกล้กับถนนหลัก ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3209 ท่ามะกา-หนองตากยา หรือห่างถนนสายหลักประมาณ 500 เมตร และมีเส้นทางคมนาคมเข้า-ออก สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยสำหรับประชาชนผู้มาติดต่อ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่านายพรชัย ปิยะปราโมทย์ ทราบอยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าจะมีการทำนิติกรรมอำพรางเกี่ยวกับที่ดินที่เทศบาลตำบลหวายเหนียวจะดำเนินการจัดซื้อในเวลาต่อมา
กรณีจึงไม่ปรากฏพฤติการณ์และพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่านายพรชัย ปิยะปราโมทย์ มีส่วนรู้เห็นหรือให้การช่วยเหลือสนับสนุนการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นผู้มีส่วนได้เสียและรู้เห็นเป็นใจให้มีการจัดซื้อที่ดินดังกล่าว หรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 แต่อย่างใด
ส่วนคณะกรรมการสรรหาที่ดิน ประกอบด้วย นายชาญชัย ปัญญาชัยรักษา เป็นประธานกรรมการ นางสุดาวรรณ เสนาลักษณ์ กรรมการ นายไพฑูรย์ สีแสง กรรมการ ร้อยตรีเสมอ กุลอื้ง กรรมการ นางชิติกาญจน์ สิทธิการ กรรมการ ซึ่งทำหน้าที่ในการสรรหาที่ดินในเขตเทศบาลตำบลหวายเหนียว โดยพิจารณาจากคุณสมบัติของที่ดินที่จะจัดซื้อว่ามีความเหมาะสมตรงตามเงื่อนไขที่เทศบาลตำบลหวายเหนียวกำหนดไว้เท่านั้น โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่าคณะกรรมการสรรหาที่ดินฯ มีส่วนรู้เห็นหรือให้การช่วยเหลือสนับสนุนการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นผู้มีส่วนได้เสียและรู้เห็นเป็นใจให้มีการจัดซื้อที่ดินดังกล่าว หรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 แต่อย่างใด
และคณะกรรมการพิจารณาจัดซื้อที่ดิน ประกอบด้วย นายจำรูญ พัวพันธ์พงษ์ เป็นประธานกรรมการ นายวสันต์ ใจใส กรรมการ นายชลัส จันทร์แจ่ม กรรมการ นายสำรวย คำดี กรรมการ นางจรรยา งามทรัพย์ กรรมการ ซึ่งทำหน้าที่พิจารณาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการก่อสร้างอาคารสำนักงาน บ้านพักและอื่น ๆ และพิจารณาความเหมาะสมของราคาที่ดิน โดยคณะกรรมการพิจารณาจัดซื้อที่ดินได้เห็นชอบในที่ดินแปลงที่นายนนทพันธ์ ตาลเจริญ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 เสนอขายให้แก่เทศบาลตำบลหวายเหนียว ว่ามีความเหมาะสมทุกประการ ทั้งด้านสถานที่และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชนในการติดต่อราชการ มีรายละเอียดตรงตามที่เทศบาลตำบลหวายเหนียวกำหนด และราคาที่จัดซื้อไม่เกินวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่าคณะกรรมการพิจารณาจัดซื้อที่ดินฯ มีส่วนรู้เห็นหรือให้การช่วยเหลือสนับสนุนการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นผู้มีส่วนได้เสียและรู้เห็นเป็นใจให้มีการจัดซื้อที่ดินดังกล่าว หรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 แต่อย่างใด
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
1. การกระทำของ นายประยูร ไพบูลย์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นางบุญยืน ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 นายสมศักดิ์ ธนทวีธรรม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 และนายนนทพันธ์ ตาลเจริญ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
2. การกระทำของ นายฉลอง ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่มีมูลความผิดฐานเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในสัญญาที่เทศบาลนั้น เป็นคู่สัญญา หรือในกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลนั้นหรือที่เทศบาลนั้น และฐานปฏิบัติการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือ สวัสดิภาพของประชาชน ละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือมีความประพฤติ ในทางจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ ตำแหน่ง หรือแก่เทศบาลหรือแก่ราชการ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2546 มาตรา 18 ทวิ และมาตรา 73 แต่เนื่องจากนายฉลอง ชินหอม พ้นจากตำแหน่งประธานสภาเทศบาลตำบลหวายเหนียวแล้ว จึงให้ยุติการดำเนินคดีตามฐานความผิดดังกล่าว
3. การกระทำของนายเฉลียว ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่มีมูลความผิดฐานเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในสัญญาที่เทศบาล นั้น เป็นคู่สัญญา หรือในกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลนั้นหรือที่เทศบาลนั้น และฐานปฏิบัติการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน ละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือ มีความประพฤติในทางจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ ตำแหน่ง หรือแก่เทศบาลหรือแก่ราชการ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2546 มาตรา 18 ทวิ และมาตรา 73 แต่นายเฉลียว ชินหอม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ได้เสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) ให้จำหน่ายออกจากสารบบความ
อนึ่ง กรณีที่เทศบาลตำบลหวายเหนียว ได้นำราคาซื้อที่ดินบริเวณข้างเคียงของ นายประยูร ไพบูลย์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 โฉนดเลขที่ 1712 และโฉนดเลขที่ 44774 มาเปรียบเทียบราคา เพียงรายเดียวเท่านั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2545 ข้อ 21 (3) และ (4) จึงให้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้เทศบาลตำบลหวายเหนียว พิจารณาดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่กับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป