สธ.เผยโควิด JN.1 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ย้ำยังเป็นสายพันธุ์รุ่นลูกโอไมครอน ย้ำกลุ่มเสี่ยง 608 ไม่ประมาท-ใส่หน้ากาก ด้าน หมอยง ชี้ติดต่อง่าย ความรุนแรงยังเหมือนเดิม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2567 นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น ตามคาดการณ์โดยเฉพาะหลังเทศกาลปีใหม่ 2567
ในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2567 พบผู้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาลจำนวน 664 ราย เฉลี่ย 95 รายต่อวัน สูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อนที่รายงาน 70 รายต่อวัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 12) เป็นผู้ป่วยอาการหนัก 144 ราย และเสียชีวิต 4 ราย โดยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง
ตามการคาดการณ์ที่จะมีการระบาดในช่วงปลายเดือน พ.ย. 2566 ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รายงานว่าช่วง 4 สัปดาห์ ที่ผ่านมา ประเทศไทยยังพบสายพันธุ์ย่อยทั้ง XBB และ EG.5
ขณะที่สายพันธุ์ย่อย JN.1 สายพันธุ์ รุ่นลูกของโอมิครอนกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ข้อมูลผู้ป่วยโควิดที่ติดเชื้อ JN.1 มีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ มีน้ำมูกร่วมด้วยได้ ซึ่งยังไม่พบว่ามีระดับความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์เดิมในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม
ขณะนี้ประเทศไทยยังมียาและเวชภัณฑ์สำรอง รวมทั้งจำนวนเตียงที่เพียงพอต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง
นพ.ธงชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับคำแนะนำสำหรับประชาชน เน้นการป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากขณะอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนรวมกันจำนวนมาก เช่น ขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล และสถานดูแลผู้สูงอายุ ล้างมือบ่อยๆ
หากประชาชนป่วยมีอาการทางเดินหายใจ ให้ตรวจ ATK และหลีกเลี่ยงใกล้ชิดกลุ่ม 608 เมื่อตรวจพบผลบวก 2 ขีด ให้สวมหน้ากากป้องกันแพร่เชื้อ และสังเกตอาการ รีบไปพบแพทย์เมื่อมีอาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก สำหรับกลุ่มเสี่ยง 608 ให้ฉีดวัคซีนโควิด 19 ประจำปี สวมหน้ากากเมื่อใกล้ชิดคนจำนวนมาก หลีกเลี่ยงใกล้ชิดผู้ที่มีอาการป่วยโรคทางเดินหายใจ
หากเริ่มมีอาการป่วยและมีผลตรวจ ATK เป็นบวก ให้สวมหน้ากากและรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและพิจารณาจ่ายยาต้านไวรัสโดยเร็วเพื่อลดโอกาสป่วยมีอาการรุนแรง
ด้าน นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า โควิด-19 สายพันธุ์ JN.1 เป็นสายพันธุ์ที่พบมากแล้วในขณะนี้
ในที่สุด การคาดการณ์ว่าสายพันธุ์ JN.1 ที่ระบาดและติดต่อได้ง่าย ก็เข้ามาเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศไทย
จากการศึกษาของศูนย์ไวรัส ถอดรหัสพันธุกรรม ในเดือนธันวาคม 14 ตัวอย่าง (ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่รอวิเคราะห์) ด้วยงบประมาณที่จำกัด พบว่าสายพันธุ์เด่นที่พบมากที่สุด เป็นสายพันธุ์ JN.1 แล้ว หลังปีใหม่นี้สายพันธุ์ JN.1 จะเป็นสายพันธุ์หลัก หรือเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นสายพันธุ์ติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์เดิมที่ผ่านมา
สายพันธุ์ JN.1 พบครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา เป็นลูกของสายพันธุ์ BA.2.86 (Pilora ชื่อของดาวเคราะห์น้อย) เป็นสายพันธุ์ที่ติดต่อได้ง่ายและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว มีการคาดการณ์ไว้แล้วว่าสายพันธุ์นี้จะเข้ามาแทนที่สายพันธุ์อื่นทั้งหมด
เป็นตามคาดหมาย สายพันธุ์นี้เข้ามาสู่ประเทศไทย เริ่มเด่นชัดในเดือนธันวาคมและแน่นอนหลังปีใหม่นี้ ก็น่าจะเป็นสายพันธุ์ JN.1 สายพันธุ์ใหม่ขณะนี้ยังไม่มีชื่อเล่น
ผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ JN.1 อาการไม่รุนแรง บางคนเพียงเป็นหวัด เจ็บคอเหมือนโรคทางเดินหายใจทั่วไป ติดต่อได้ง่าย เป็นแล้วก็สามารถเป็นอีก จึงทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังปีใหม่นี้ และคาดว่าผู้ป่วยจะเริ่มลดลงหลังเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ โดยจะลดลงอย่างมากในเดือนมีนาคม แล้วจะสงบลง จนไปถึงฤดูกาลใหม่ในเดือนมิถุนายนปีนี้
ขณะนี้ทางศูนย์ ได้ติดตามสายพันธุ์อยู่ตลอด เนื่องจากมีงบประมาณที่จำกัด จึงทำจำนวนได้ไม่มาก เพื่อเฝ้าระวังแนวโน้มสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ดังแสดงในรูป จะเห็นว่าสายพันธุ์เด่นในเดือนพฤศจิกายน เป็น HK3 แล้วเปลี่ยนเป็น JN.1 ในเดือนธันวาคม และในเดือนนี้สายพันธุ์ส่วนใหญ่จะเป็น JN.1 เพราะแพร่กระจายได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น
ความรุนแรงของโรคไม่ได้เปลี่ยนแปลง สิ่งที่สำคัญที่ต้องศึกษาขณะนี้คือ ระบบภูมิต้านทานเดิมที่มีอยู่มีผลอย่างไร กับการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ใหม่ โดยจะนำสายพันธุ์ใหม่ มาเพราะเชื้อขยายจำนวน แล้วทดสอบกับปฏิกิริยาภูมิต้านทาน ในคนไทย ที่ได้รับวัคซีนชนิดต่างๆ และการติดเชื้อที่ผ่านมา