รมช.คมนาคม เผยแผนงานที่เกี่ยวกับ ขสมก. ชี้ต้องสรรหาบอร์ดใหม่ให้ได้ก่อน คาดไม่เกิน 60 วันได้ ก่อนกางแผนหารถไฟฟ้า (EV) 2,013 คัน แบ่ง 3 เฟส ในเฟสแรก 224 คันจะเสนอบอร์ดชุดใหม่ทบทวนก่อน พร้อมเปิดยอดขาดทุนแต่ละปีอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 30 กันยายน 2566 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การปรับปรุงบริการและการแก้ปัญหาหนี้สินขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จะผลักดันแผนขับเคลื่อนขสมก.(แผนฟื้นฟูขสมก.) ซึ่งเตรียมจัดหารถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV) โดยใช้วิธีเช่าแบบเหมาดำเนินการ จำนวน 2,013 คัน แบ่งเป็น 3 เฟส โดยเฟสแรก จำนวน 224 คัน ซึ่งหากจัดหารถ EV ได้ตามแผน จะช่วยลดรายจ่าย ด้านเหมาซ่อมที่มีประมาณ 1,900 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ต้องหารายได้เพิ่ม จากการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ อู่จอดรถขสมก.2 แห่งที่ บางเขน และ มีนบุรี รวมถึงบริหารจัดการเป็นที่จอดรถฟีดเดอร์เพื่อเดินทางเชื่อมต่อระบบรถไฟฟ้าสายต่างๆ
@เร่งตั้งบอร์ด ขสมก. ชุดใหม่
ขณะเดียวกัน ขสมก.อยู่ในภาวะที่ไม่มีคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การ (บอร์ด ขสมก.) เนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี ไปเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.65 ดังนั้นจะต้องเร่งแต่งตั้งบอร์ดขสมก.ก่อน จึงจะสามารถเดินหน้าพิจารณาขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ได้ ซึ่งตามขั้นตอนการมีกระบวนการสรรหาและผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงคลังด้วย คาดว่าจะใช้เวลาแต่งตั้งบอร์ดชุดใหม่ ประมาณ 60 วัน หลังจากได้บอร์ดเรียบร้อยแล้ว จะเร่งรัดเรื่องการจัดหารถโดยสาร EV ก่อน โดยคาดว่ากระบวนการจัดหารถจะใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 4 เดือน อย่างไรก็ตามจะพยายามให้ได้รถโดยเร็วที่สุด
“ขสมก.ต้องมีรถใหม่บริการเป็นรถไฟฟ้าปรับอากาศ ที่เพิ่มความสะดวกสบาย ดูแลความสะอาด ปลอดภัย และราคาที่ทุกคนเข้าถึงบริการของขสมก.ได้ ขณะเดียวกันต้องกลับมาดูการพัฒนาองค์กรที่ต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามา การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดปัญหาควันดำ เพื่อไม่ให้ก่อฝุ่น PM 2.5 สิ่งสำคัญคือ ต้องดูแลขวัญกำลังใจพนักงานในองค์กรด้วย และพยายามแก้ปัญหานี้สินให้ขสมก.ให้ได้ในยุครัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เพราะเป็นสิ่งที่ท้ายการทำงาน ความสามารถและความร่วมมือของทุกคนที่อยากทำงานในหน่วยงานที่มีกำไรและสร้างความมั่นคงในชีวิต”นางมนพรกล่าว
มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
@ชงทบทวนหารถ EV จำนวน 224 คัน วงเงิน 967 ล้านบาท
ด้านนายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผอ.ขสมก. กล่าวว่า ตามแผนขับเคลื่อนขสมก.(ปี 2566-2570) จัดทำเสร็จแล้ว โดยจะนำเสนอบอร์ดขสมก.เห็นชอบ และจะนำเสนอรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมต่อไปตามขั้นตอน ต้องการรถใหม่จำนวน 2,500 คัน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยขณะนี้มีรถโดยสารใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิงแล้ว 489 คัน เหลือจัดหาเป็นรถ EV อีกจำนวน 2,013 คัน โดยเฟสแรก จำนวน 224 คัน เฟสที่ 2 จำนวน 1,020 คัน เฟสที่ 3 จำนวน 769คัน โดยจะจัดเฟสต่อไปดูตามความเหมาะสม โดยเฟสแรก จะเป็นการจ้างเหมาบริการเดินรถโดยสารไฟฟ้า (EV) จำนวน 224 คัน วงเงินประมาณ 967 ล้านบาท ที่ผ่านมา ผ่านความเห็นชอบจากบอร์ด ขสมก.แล้ว จะเป็นการเช่าระยะสั้น 2-3 ปี แต่ในระหว่างรอบอร์ดชุดใหม่ ขสมก.จะทบทวนข้อมูลโครงการให้เป็นปัจจุบันเพื่อให้รอบคอบที่สุด และนำเสนอบอร์ดชุดใหม่ อีกครั้ง
ปัจจุบัน ขสมก. มีรถโดยสารประจำทาง จำนวน 2,885 คัน แบ่งเป็น รถโดยสารธรรมดา จำนวน 1,520 คัน และรถโดยสารปรับอากาศ จำนวน 1,365 คัน วิ่งให้บริการประชาชนในเส้นทางเดินรถ จำนวน 107 เส้นทาง มีผู้ใช้บริการวันธรรมดา เฉลี่ย 7-8 แสนคน/วัน วันเสาร์-อาทิตย์เฉลี่ย 5 แสนคน / วัน มีพนักงาน 12,000 คน (เป็นพนักงานขับรถ 4,000 คน พนักงานเก็บค่าโดยสาร 4,000 คน พนักงาน สำนักงานและซ่อมบำรุง 4,000 คน) มีภาระหนี้สิน 140,777 ล้านบาท มีภารค่าเหมาซ่อมประมาณ 1,600 ล้านบาท-2,000 ล้านบาท/ปี โดยขสมก.ต้องกู้เงินเสริมสภาพคล่อง 8,000 ล้านบาท/ปี และได้รับอุดหนุน ค่า PSO กลุ่มรถร้อน ประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี ผลประกอบการ มีรายได้ ประมาณ 8,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 12,000 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นค่าเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อม) ขาดทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท/ปี
“ที่ผ่านมาพนักงานขับรถไม่พอ ซึ่งได้เปิดรับเข้ามาแล้ว ส่วนพนักงานเก็บค่าโดยสาร หากมีรถใหม่ EV เข้ามา และมีการปรับระบบการจัดเก็บาโดยสารอัตโนมัติ พนักงานเก็บค่าโดยสารอาจไม่จำเป็น แต่ ขณะนี้ รมช.คมนาคม ไม่มีนโยบายเลิกจ้าง ดังนั้น ก็จะปรับความรู้ ความสามารถพนักงานไปทำหน้าที่อื่น ขณะที่ช่วงเปลี่ยนผ่าน พนักงานประจำรถก็ยังมีความจำเป็น เพื่อแนะนำผู้โดยสาร” ผอ.ขสมก.กล่าว