‘ธปท.’ เผย ‘ดอลลาร์สหรัฐฯ’ แข็งค่า กดดัน ‘ค่าเงินภูมิภาค-เงินบาท’ อ่อนค่า ระบุไม่พบสัญญาณเคลื่อนย้ายเงินทุนผิดปกติ ขณะที่ 'เงินสำรองฯ' ของไทย ยังสูงกว่าหนี้ระยะสั้น 3 เท่า
....................................
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้น จากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นกว่าเดิมในระยะถัดไป โดยนับแต่ต้นปี เงินดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าไปแล้ว 14.6% และเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้สกุลเงินภูมิภาครวมทั้งเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา
“ยังไม่พบสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ผิดปกติ โดยนับตั้งแต่ต้นปี นักลงทุนต่างชาติยังมีฐานะซื้อสุทธิในสินทรัพย์ไทยประมาณ 1.6 แสนล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์กว่า 1.6 แสนล้านบาท และขายสุทธิเล็กน้อยในตลาดพันธบัตร ที่ 700 ล้านบาท” น.ส.ดารณี กล่าว
น.ส.ดารณี ระบุว่า การแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังส่งผลให้มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ (เงินสำรองฯ) ของหลายประเทศปรับลดลงเช่นกัน โดยสำหรับไทย เงินสำรองฯ ปรับลดลงจาก 2.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี มาอยู่ที่ระดับ 2.4 แสนล้าน ซึ่งการลดลงดังกล่าว เป็นผลจากการตีมูลค่าเงินสำรองฯ ที่อยู่ในสินทรัพย์หลายสกุลเงินให้เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นสำคัญ
“เงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้สินทรัพย์สกุลอื่นเมื่อตีเป็นรูปดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าลดลง ซึ่งโดยปกติ ในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เคลื่อนไหวผันผวนสูง จะเห็นมูลค่าเงินสำรองฯ ผันผวนสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ดี ไทยยังมีฐานะด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่งจากระดับเงินสำรองฯ ที่อยู่ที่ประมาณ 2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 48% ของ GDP ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ โดยสูงเป็นอันดับที่ 12 และ 6 ของโลกตามลำดับ และยังสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นของไทยถึงเกือบ 3 เท่า” น.ส.ดารณี กล่าว