ธปท.เดินหน้าผลักดัน 3 เสาหลัก ‘Open Infrastructure-Innovation-Inclusivity’ สนับสนุนประเทศไทยก้าวสู่ยุค Digital Transformation
.................................
เมื่อวันที่ 29 ส.ค. นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “โอกาสและความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ยุค Digital Transformation ของประเทศไทย” ภายในงาน National ITMX Day 2022 : National ITMX Digital Verse Financial Connectivity ว่า การเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุค digital transformation ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ต้องสอดรับกับพัฒนาการที่หลากหลายของภาคการเงิน ทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคทั้งประชาชน SMEs หรือธุรกิจขนาดใหญ่
ธปท. ได้ตระหนักและวางแนวนโยบายให้รองรับภายใต้นโยบาย “ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทยเพื่อเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน” หรือ ที่เราเรียกสั้นๆ ว่า New Financial Landscape และวางแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ปี 2565-2567 รองรับ โดยมีหลักการสำคัญ คือ การเปิดกว้างให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน (Openness), การใช้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์อย่างเข้าถึงและเข้าใจ (Inclusivity) และการกำกับดูแลที่ยืดหยุ่นและเท่าทัน (Resiliency) ซึ่งแผนกลยุทธ์ด้านการชำระเงินจะมีการเผยแพร่ในเร็วๆ นี้
สำหรับการดำเนินตามแนวนโยบาย ธปท. ด้านการชำระเงินดิจิทัล เพื่อนำพาระบบการเงินไทยให้สามารถก้าวสู่ยุค digital ได้อย่างยั่งยืนดังกล่าว ธปท.จะมีการผลักดันภายใต้ 3 หลักการสำคัญ คือ Open Infrastructure, Innovation และ Inclusivity ประกอบด้วย
หลักการที่ 1 Open Infrastructure : การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินที่รองรับความหลากหลายและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อสนับสนุนให้ธุรกรรมทางเศรษฐกิจการเงิน สามารถดำเนินไปได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในบริบทของ digital economy ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินมาอย่างต่อเนื่อง ให้รองรับปริมาณธุรกรรม digital payment ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก จนทำให้ประเทศไทยจัดว่าเป็นผู้นำด้านการพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศในภูมิภาค
ที่ชัดเจน คือ ระบบ PromptPay และมาตรฐาน Thai QR Code ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้คนไทยหันมาโอนเงินและช าระเงินผ่านช่องทางดิจิทัล โดยเฉพาะผ่าน mobile banking จนขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก และยังรองรับการชำระเงินและการส่งผ่านความช่วยเหลือแก่ประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ให้เข้าถึงประชาชนได้เป็นวงกว้าง พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาคุ้นชินกับการชำระเงินดิจิทัลมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้เชื่อมโยงระบบการชำระเงินกับ 6 ประเทศในภูมิภาค ภายใต้โครงการ ASEAN Payment Connectivity ที่สำคัญ คือ การเชื่อมโยง faster payment คู่แรกของโลกระหว่าง ระบบพร้อมเพย์ของไทยและเพย์นาวของสิงคโปร์ซึ่งได้รับการยอมรับในการใช้งานและได้รับรางวัล “Initiative of the Year” ในปี 2565 จากวารสาร “Central Banking” และจะมีการขยายการเชื่อมโยงการช าระเงินต่อไป เพื่อรองรับการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิด 19 เริ่มคลี่คลาย
จุดเปลี่ยนที่สำคัญในระยะต่อไป คือ การปรับเปลี่ยนภาคธุรกิจไปสู่การดำเนินงานแบบดิจิทัล ผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับกระบวนการทำงานและการชำระเงินแบบดิจิทัล หรือระบบ PromptBiz ซึ่ง ธปท. ภาคสถาบันการเงิน บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ และองค์กรที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อให้ธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs สามารถส่งข้อมูลการค้าควบคู่กับข้อมูลการชำระเงิน ช่วยลดระยะเวลา ข้อผิดพลาด และต้นทุน รวมทั้งสามารถต่อยอดข้อมูล digital footprint ไปยังการเข้าถึงบริการทางการเงินอื่นได้
ขณะเดียวกัน บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ เอง ได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย (Thailand National Digital Trade Platform: NDTP) รองรับการเชื่อมโยงข้อมูลการค้าและการชำระเงินระหว่างประเทศด้วย
อย่างไรก็ดี กระแสโลกดิจิทัล การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ ตลอดจนความต้องการและพฤติกรรมที่ปรับเปลี่ยนของผู้ใช้บริการ ทั้งประชาชนและธุรกิจ ทำให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่เอื้อ ต้องดำเนินการภายใต้หลักการ interoperability มุ่งเน้นให้โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินสามารถเชื่อมโยงกันได้ ไม่ซ้ำซ้อน และใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ และบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักในภาคการเงินที่ร่วมกับ ธปท. ดำเนินการเรื่องนี้
โครงการสำคัญที่จะร่วมขับเคลื่อนต่อไป คือ การนำมาตรฐานสากลและมาตรฐานกลางมาใช้ เช่น ISO 20022และ API standard ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของ open infrastructure คือ การปรับปรุงระบบ PromptPay และ Bulk Payment ให้ตอบโจทย์การให้บริการแก่ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ ยิ่งขึ้น ควบคู่กับการรองรับผู้ให้บริการชำระเงินที่หลากหลาย ให้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินในปัจจุบันร่วมกันได้ตามแนวปฏิบัติสากล ที่มีเกณฑ์การเข้าถึงที่เปิดเผย ชัดเจน สามารถใช้ตัดสินใจในเรื่องความเสี่ยง ค่าธรรมเนียม และต้นทุนได้อย่างเหมาะสม
แต่แน่นอนว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่สำคัญของประเทศ ต้องคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัย และรองรับการให้บริการได้ต่อเนื่อง ไม่ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจการเงินหยุดชะงัก โดยต้องอาศัยการกำกับดูแลและกำหนดนโยบายด้านการบริหารความเสี่ยงที่ยืดหยุ่นเท่าทันความเสี่ยงใหม่ในยุคดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็ว
หลักการที่ 2 Innovation : การส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว โดยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่หลากหลายและข้อมูลที่มีอยู่มหาศาลในโลกยุคดิจิทัล เช่น Data Analytics, Machine Learning, Artificial Intelligent รวมทั้ง Blockchain ซึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงในโลกการเงิน เพื่อพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานในทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ
ธปท. เห็นความสำคัญของการออกแบบสภาพแวดล้อมของภาคการเงินที่เอื้อต่อการแข่งขันและพัฒนา การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานการช าระเงินที่สำคัญได้อย่างเท่าเทียม ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม และสามารถให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน โดย ธปท. มุ่งเน้นการลดอุปสรรคของผู้ให้บริการ การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานอย่างเต็มศักยภาพ มีการแข่งขันที่เป็นธรรม และสามารถลดต้นทุนของระบบโดยรวม บนบริบทของการบริหารความเสี่ยงที่ดีโดยคำนึงถึงผู้ใช้บริการ (end user) และประเทศเป็นหลัก
หลักการที่ 3 Inclusivity : การส่งเสริมการเข้าสู่ยุคดิจิทัลโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ดูแลกลุ่มที่ยังไม่มีความพร้อมและให้ความรู้อย่างเพียงพอเหมาะสม ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ digital divide โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาการใช้ digital payment ในไทยขยายตัวถึง 5 เท่า จากจำนวนรายการ 63 ครั้งต่อคนต่อปีในปี 2560 เป็น 312 ครั้งต่อคนต่อปีในปี 2564
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้ใช้ digital payment ยังคิดเป็นเพียงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับการใช้เงินสด และยังคงกระจุกตัวกับประชาชนบางกลุ่ม ตัวเลขดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสที่จะขยายการใช้ digital payment ให้เพิ่มขึ้นได้อีกมาก จากการสำรวจการใช้บริการชำระเงินในชีวิตประจำวันของประชาชน หรือ Payment Diary ยังพบว่าประชาชนปรับพฤติกรรมคุ้นชินกับการใช้ digital payment มากขึ้น และเราได้เห็นความคุ้นชินของประชาชนจำนวนมากผ่านการใช้แอปพลิเคชันเป๋าตัง จึงควรใช้โอกาสนี้ต่อยอดให้มีการใช้แอปพลิเคชั่นดังกล่าวอย่างหลากหลาย
ภายใต้แผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ปี 2565-2567 จึงเน้นการส่งเสริมบริการชำระเงินดิจิทัลให้มีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้นในชีวิตประจ าวัน โดยพัฒนาบริการร่วมกับภาคสถาบันการเงิน ภาครัฐ และภาคเอกชนเพื่อผลักดันให้ digital payment เป็นทางเลือกการช าระเงินหลัก ขณะเดียวกันก็มีแนวทางช่วยเหลือกลุ่มที่ยังไม่พร้อม และยกระดับความรู้ความเข้าใจทักษะการเงินดิจิทัล การใช้งานอย่างปลอดภัย รู้เท่าทันภัยทุจริตต่างๆ ด้วย
“ทิศทางการพัฒนาระบบชำระเงินภายใต้หลักการสำคัญทั้ง 3 เรื่อง คือ Open Infrastructure, Innovation และ Inclusivity ที่ได้กล่าวไปนั้น จะเป็นกลไกสำคัญสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุค digital transformation ได้อย่างราบรื่น ซึ่งยังคงมีความท้าทายที่เราต้องก้าวข้ามอีกมาก ในการดูแลการเงินในยุคดิจิทัลให้มีเสถียรภาพ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ความไม่แน่นอนของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ภัยทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็น cybersecurity หรือการหลอกลวงทุจริต ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนขับเคลื่อนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการทำงานให้เกิดความสำเร็จจะต้องอาศัยการวางโครงสร้างธรรมาภิบาลที่ดี เอื้อต่อการบริหารจัดการทั้งด้านธุรกิจ เทคโนโลยี และความเสี่ยง รองรับการเติบโตของการชำระเงินดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้นมากทั้งจากธุรกรรมภายในประเทศและการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ พร้อมทั้งมีกลไกการติดตามดูแลเสถียรภาพและขีดความสามารถของระบบสำคัญ (capacity) ให้สามารถสนับสนุนการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก สอดรับกับความคาดหวังของสังคมที่มีต่อระบบการชำระเงินในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” นายรณดล กล่าว