‘ชัชชาติ’ ยันฟื้น ส.ข. หลังสภากทม.บ่นอุบ ดูแลพื้นที่ไม่ทั่วถึง ต้องมี ส.ข.ช่วยดูพื้นที่ ชี้บางเขตประชากร 2-3 แสนคน เทียบเท่า 1 จังหวัด พร้อมสั่งเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูงช่วงปลายเดือน - ต้น ส.ค.65 ห่วงจุดฟันหลอ ด้านฝีดาษลิง สั่งเฝ้าระวัง เล็งตรวจเชิงรุกกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะชุมชนต่างชาติ ‘อิสราเอล’
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเด็นสภาเขตและสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) ว่า จากการหารือกับ กมธ. เห็นว่าควรมี ส.ข. ตามที่สภา กทม.เสนอ เพื่อให้ช่วยทำงานในพื้นที่ให้มากขึ้น เพราะสภาเขตกรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตละ 1 คน ไม่เพียงพอต่อการรับฟังและแก้ปัญหา
“ยอมรับว่า กทม.ไม่สามารถออกประกาศเพื่อให้มีการเลือก ส.ข. เองได้ จึงต้องมีการเสนอให้มีการแก้ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฉบับปัจจุบันที่กำหนดให้มี ส.ก.เขตละ 1 คน โดยยกเลิกการเลือกตั้งส.ข.ซึ่ง กมธ. จะทำหน้าที่สื่อสารไปยังสภาผู้แทนราษฎร” นายชัชชาติกล่าว
แม้ปัจจุบันจะยกเลิก ส.ข. ไปแล้ว และมีการตั้งประชาคมเขตแทน แต่จากการประชุมสภากทม. พบว่า ส.ก.ต้องการให้มี ส.ข. เนื่องจากส. ข. เป็นผู้ที่จะดูในรายละเอียดของแต่ละพื้นที่เขตของกรุงเทพฯ เพราะว่าในแต่ละเขตของกรุงเทพฯ มีจำนวนประชากรมากเป็นหลัก 2-3 แสนคนเทียบเท่ากับ 1 จังหวัด
การมีส.ก.แค่คนเดียวอาจจะไม่เพียงพอทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง ส่วนแนวคิดเรื่องการตั้งประชาคมเขตที่มาจากคนบางกลุ่มไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็ต้องพิจารณาความเห็นของแต่ละฝ่ายให้รอบด้าน ผู้บริหารกทม.มีหน้าที่นำเสนอ สื่อสารความเห็นจากสภากทม.ให้คณะกรรมาธิการฯได้รับทราบ ซึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะถ้ามีการเลือกผู้แทนจากประชาชนมามากๆ และเป็นตัวแทนจากประชาชนจริงๆและสร้างประโยชน์ให้ประชาชนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากเป็นการแต่งตั้งจากคนแค่เพียงบางกลุ่มไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนก็อาจจะสร้างปัญหาในอนาคตได้ ซึ่งในเรื่องนี้ขณะนี้กทม.ยังไม่สามารถดำเนินการได้ต้องรอการประกาศใช้จากพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องก่อน
เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง
จากนั้น นายชัชชาติได้กล่าวถึงการรับมือสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงปลายเดือนนี้ไปจนถึงต้นเดือนส.ค. 2565 ว่า จะมีการสร้างเขื่อนริมน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 88 กิโลเมตร กทม.ดำเนินการ 80 กิโลเมตร เอกชนดำเนินการ 8 กิโลเมตร มีจุดที่เป็นฟันหลอประมาณ 20 กว่าจุด ซึ่งปีนี้ได้งบประมาณดำเนินการ 13 จุด อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง โดยได้เตรียมกระสอบทรายไว้อุดจุดที่ฟันหลอแล้ว
พร้อมยอมรับว่ามีบางจุดที่ยังมีปัญหา เช่น จุดทรงวาด ตลาดน้อยเลยวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร และจุดฟันหลอทั้งสองฝั่งทั้งฝั่งธนบุรีและฝั่งพระนคร รวมถึงที่ของเอกชนที่ยังไม่ได้เข้าไปดำเนินการในการเตรียมความพร้อมก็ต้องเร่งดำเนินการ โดยได้สั่งการไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว
ซึ่งเมื่อช่วงเช้านายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน รายงานสถานการณ์ประจำวันว่า มีปริมาณน้ำ 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ปกติไม่มีปัญหา และได้สั่งการเน้นย้ำให้เฝ้าระวังจุดฟันหลอแล้ว เพราะทุกจุดที่ฟันหลอถึงแม้สถานการณ์น้ำน้อยก็สามารถเอ่อท่วมได้ ซึ่งฝั่งธนบุรีกับฝั่งพระนครต้องเร่งดำเนินการ โดยปริมาณน้ำเหนือที่หนุน ที่เป็นวิกฤตจริง ๆ อยู่ที่ประมาณ 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ที่จะทำให้น้ำล้นถึงแนวคัน ซึ่งกทม.ได้เสริมคันกันน้ำให้สูงขึ้นโดยมีความสูงเฉลี่ย 2.80 – 3.50 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือแล้ว
"สำหรับข้อห่วงใยประชาชนในช่วงวันหยุดยาวนั้น ก็ขอให้หยุดพักผ่อนกันให้เต็มที่ ส่วนเรื่องฝนกทม.ก็ป้องกันเต็มความสามารถ การพร่องน้ำก็ทำเต็มที่ ตอนนี้ก็ได้กองทัพเข้ามาช่วยในการลอกท่อแล้วตั้งแต่พื้นที่คลองลาดพร้าวไปจนถึงคลองบางบัว โดยจะพร่องน้ำช่วงกลางคืน และตอนเช้าก็ปล่อยให้เดินเรือ แต่แค่หยุดปั๊มน้ำระดับน้ำก็ขึ้นมา 20 เซนติเมตรแล้ว เพราะฉะนั้นช่วงที่เรือไม่เดินก็จะพร่องน้ำได้มากที่สุด คิดว่าหากฝนตกหนักไม่มากแบบที่ผ่านมาก็ไม่น่ามีปัญหาสามารถรับมือได้ " ผู้ว่าฯชัชชาติ กล่าวให้ความมั่นใจในการรับมือน้ำท่วม
เล็งตรวจเชิงรุกกลุ่มเสี่ยง ‘ฝีดาษลิง’
ส่วนเรื่องฝีดาษลิง ตรวจสอบแล้วไม่พบอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามที่ข่าวลือที่แพร่กระจายออกไป ซึ่งขณะนี้กทม.ได้เฝ้าระวังอย่างเต็มที่ เพราะขณะนี้มีการแพร่ระบาดในประเทศต่างๆ เช่น อิสราเอลพบผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 100 ราย เพราะฉะนั้นชุมชนที่มีความเสี่ยงต้องมีการตรวจเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งโรคฝีดาษลิงไม่ได้มีการติดเชื้อจากการแพร่กระจายในอากาศเหมือนโควิด -19 แต่มีการติดเชื้อจากการสัมผัสและเรื่องเพศสัมพันธ์โดยมีกลุ่มเสี่ยงที่มาจากต่างประเทศที่มีการแพร่ระบาดอยู่ ซึ่งขณะนี้สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ได้ให้ความรู้กับศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง พร้อมเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไว้พร้อมแล้ว