'ตรีนุช' เรียกประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู-บุคลากรทางการศึกษา แจงภารกิจ 558 สถานีแก้หนี้ กำชับอนุมัติเงินกู้อย่างเคร่งครัด หลังหักหนี้ครูต้องมีใช้จ่าย 30% ของเงินเดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2565 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวเปิดการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับจังหวัด ตอนหนึ่งว่า ภายใต้นโยบายการบริหารประเทศของ พล.อ.เอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่น ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดี โดยประกาศให้ปี 2565 เป็น 'ปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน' ซึ่งครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนกว่า 9 แสนคน มีหนี้สินรวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท
โดย ศธ.ได้ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาในระดับกระทรวงขึ้น เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีนายสุทธิชัย จรูญเนตร ที่ปรึกษา รมว.ศธ.เป็นประธาน และวันนี้ก็สามารถเสนอการแก้ไขปัญหาให้ประจักษ์เป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน
น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อไปว่า แนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูฯ นั้น ต้องการลดภาระหนี้โดยรวมของครูให้น้อยลง ให้ครูมีรายได้ต่อเดือนเหลือไม่น้อยกว่า 30% ของเงินเดือน โดยได้กำหนดแนวทางขับเคลื่อนในเฟสแรก เป็น 4 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 ลดดอกเบี้ย โดยเปิดโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ครูรายใหญ่เข้าร่วม ขณะนี้มีสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 70 แห่ง จากทั้งหมด 108 แห่ง เข้าร่วมปรับอัตราดอกเบี้ยแล้ว
โดยจะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงตั้งแต่ 0.05-1.0% และพบว่ามีสหกรณ์ 11 แห่ง สามารถปรับลดดอกเบี้ยให้ลงเหลือต่ำกว่า 5% โดยมีครูที่ได้รับประโยชน์ทันทีกว่า 460,000 คน และจะเร่งขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศในเฟสถัดไป
ครูมีหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 1,000,000 บาท หากอัตราดอกเบี้ยลดลง 1% จะทำให้ครูมีเงินไว้ใช้จ่ายต่อปีเพิ่มขึ้นถึง 10,000 บาท ขณะเดียวกันนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน จะเป็นคนกลางในการประสานขอความร่วมมือกับธนาคารออมสิน เพื่อชะลอการดำเนินคดีทางกฎหมายกับกลุ่มครู ซึ่งคาดว่ามีครูได้รับประโยชน์กว่า 25,000 คน
มาตรการที่ 2 พิจารณาและควบคุมการอนุมัติเงินกู้อย่างเคร่งครัด โดยยอดหนี้รวมทั้งหมดของผู้กู้ต้องไม่ให้มากเกินกว่า 70% ของรายได้ เพื่อให้ครูสามารถมีเงินใช้จ่ายได้ 30% ของเงินเดือน เนื่องจากครูมีหนี้หลายด้าน ระบบการพิจารณาอนุมัติเงินกู้ยังไม่เป็นระบบที่เชื่อมโยง
ศธ.จึงร่วมมือกับบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ในการสร้างระบบและเชื่อมโยงหนี้รายบุคคล เพื่อให้ทราบข้อมูลหนี้ครูรายคนสำหรับการบริหารจัดการและไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อน โดยทางเครดิตบูโรสนับสนุนให้ ศธ. ใช้ระบบได้ฟรี ไม่คิดใช้จ่าย หากตรวจพบว่าครูที่ต้องการกู้เงินเพิ่มเติม มีหนี้รวมมากกว่า 70% จะไม่ได้รับการอนุมัติให้กู้เพิ่ม
มาตรการที่ 3 จัดตั้งสถานีแก้หนี้ครูฯ ระดับเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานทางการศึกษา จำนวน 481 แห่ง และระดับจังหวัด 77 จังหวัด รวม 558 สถานีทั่วประเทศ
โดยดำเนินการในรูปคณะกรรมการ ซึ่งระดับเขตพื้นที่ฯกำหนดให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) หรือ หัวหน้าหน่วยงานทางการศึกษา เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทางแก้หนี้ร่วมกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ส่วนราชการ และสถาบันการเงิน, จัดทำระบบข้อมูล, ปรับปรุง กำหนดมาตรการหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้ , รับลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้สินครูฯ ช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้กับครูและผู้ค้ำประกัน
ส่วนสถานีแก้หนี้ครูฯระดับจังหวัด จะมีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ รองผู้ว่าฯ เป็นประธาน กำกับดูแลในภาพรวมของจังหวัด บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นภายในจังหวัด ช่วยเหลือสถานีแก้หนี้ตามที่ได้รับการร้องขอ
มาตรการที่ 4. ให้ความรู้ด้านการเงินให้ครูฯ โดยประสานงานกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครูสามารถวางแผนการเงิน และมีระเบียบวินัยในการใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
“ศธ.เปิดให้ครูมาลงทะเบียนแก้ปัญหาหนี้สิน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้มีครูลงทะเบียนแล้ว 27,427 ราย ถือว่าไม่มากไม่น้อย เพราะเพิ่งจะเริ่มต้น หากเราสามารถทำให้เห็นผลว่าสามารถช่วยเหลือครูได้จริง ตัวเลขก็คงจะทยอยเพิ่มขึ้น ซึ่ง ศธ.จะติดตามผลการช่วยเหลือครูจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูแต่ละแห่งเพื่อให้ทราบภาพรวมว่าได้ช่วยลดหนี้ครูแต่ละคนไปได้เท่าไร ขณะเดียวกัน ศธ.จะเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขที่หลากหลาย รวมถึงดำเนินการเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดและแบ่งเบาการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูต่อไป” น.ส.ตรีนุช กล่าว
น.ส.ตรีนุช กล่าวตอบคำถาม จากกรณีที่มีเสียงสะท้อนมาว่านโยบายของ ศธ.เป็นนโยบายที่ดี แต่ขณะนี้มีแนวทาง มาตรการแก้ไขเท่านั้น จะดำเนินการติดตามผลอย่างไร เพื่อให้ตอบสังคมได้ว่ามาตรการที่ออกมาช่วยเหลือครูได้จริงว่า สามารถติดตามผลได้ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ครู 70 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการแก้ปัญหาหนี้ฯ ศธ.ก็จะทราบตัวเลขครูทันทีว่า ครูที่เป็นสมาชิกได้รับความช่วยเหลือมีจำนวนเท่าใด ครูได้ลดดอกเบี้ยจำนวนเท่าใด และจะแบ่งเบาภาระครูได้จำนวนเท่าใด เป็นต้น